มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ - เว็บบอร์ด

 ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 2070|ตอบกลับ: 1

ความในใจของท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร

[คัดลอกลิงก์]

91

กระทู้

100

โพสต์

2414

เครดิต

ผู้ดูแลระบบ

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

เครดิต
2414

ท่านผู้กล้าท้าพิสูจน์ชีวิต



        เป็นความในใจของท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร ที่ได้แสดงออกถึงความกรุณาที่มีต่อพวกเราทุก ๆ คน มานำเสนอ เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่าน ผู้ท้าทุกคนให้เข้ามาพิสูจน์ความจริง....


เพื่อนผู้ร่วมความทุกข์ เพื่อนผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลาย
ผมขอสารภาพความจริงจากภายในหัวใจว่า เมื่อสมัยผมยังอายุน้อยอยู่นั้น ผมไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ไม่เคยเชื่อเรื่องตายแล้วไปเกิดได้ ได้ชื่อว่าเป็นมิฉาทิฏฐิเต็มตัว ทั้งๆ ที่บวชและเรียนนักธรรมตรีมาแล้ว ๑ พรรษา


ความรู้ในวิทยาการสมัยใหม่ กับการศึกษาธรรมะมาน้อย เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ผีสางเทวดา และการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลายเป็นเรื่องเพ้อฝันของคนโบราณที่มิได้ศึกษาวิทยาการที่จะทำให้เกิดสติปัญญาในเหตุผลอันลึกซึ้งจากในวิทยาการทางโลก ทางวิทยาศาสตร์ ผมได้เคยออกเถียงหลายครั้งหลายหน ในที่หลายแห่งกับบุคคลเป็นอันมากว่า ผีสางเทวดา และการเวียนว่ายตายเกิดนั้นไม่เป็นความจริง เป็นเพราะคนโบราณต้องการจะให้บุคคลทั้งหลายรวมกันอยู่ได้ในสังคมด้วยความเรียบร้อย จึงได้เอาเรื่องนรกมาขู่ แล้วเอาเรื่องสวรรค์มาล่อใจ

แต่ด้วยกุศลผลบุญแต่หนหลังได้มาสนับสนุนบันดาลใจให้ผมได้มีโอกาสศึกษาพระอภิธรรมปิฎกอยู่หลายปี แล้วก็ได้เข้าสู่การปฏิบัติธรรมหลายครั้ง แล้วหลังจากนั้นความคิดเห็นอันเป็นมิจฉาทิฏฐิจึงได้ค่อยๆละลายหายออกไปทีละน้อยๆ ตามความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น



ตั้งแต่นั้นมา ผมจึงได้ตักเตือนญาติมิตรอยู่เสมอว่า อย่าพูดว่าผีสางเทวดาไม่มี อย่าคิดว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นไปไม่ได้ ก่อนที่จะได้ศึกษาพระธรรมที่ว่าด้วยเรื่องของชีวิตให้เข้าใจ หาไม่แล้วผู้เข้าใจผิดในเรื่องของชีวิตก็จะตกอยู่ในความประมาท ความเสียหายร้ายแรงที่ไม่เคยคาดถึงเลยก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าเรารักชีวิตของเราจริงๆแล้ว ก็ขอให้ลองศึกษาสักพักหนึ่งก่อนเถิด

ในพระอภิธรรมปิฎก ได้แสดงบทพิสูจน์เอาไว้พร้อมแล้ว ผู้ต้องการพิสูจน์ก็จะได้เหตุผลข้อเท็จจริงทุกอย่าง พระอภิธรรมปิฎกไม่เกรงว่าผู้ใดจะเข้ามาพิสูจน์ แต่เกรงผู้ที่จะไม่ยอมเข้ามาพิสูจน์เท่านั้นเอง


แม้เพียงการศึกษาเล่าเรียนธรรมดา ผู้ใดศึกษาเข้าถึงความลึกซึ้งจริงๆ แล้ว ความสงสัยดังกล่าวมา ก็สลายตัวออกไปจากจิตใจได้


ฝึกฝนการปฏิบัติสมถกรรมฐาน คือการทำสมาธิจนเกิดอำนาจ ก็มีความสามารถทำลายล้างความเห็นผิดต่างๆ ได้

และการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพียงได้ญาณปัญญาที่ ๒ ที่เรียกว่า ปัจจยปริคคหญาณเท่านั้น ความสงสัยต่างๆในเรื่องหยาบๆ คือ ผีสางเทวดา และการเกิดใหม่ในชาติหน้าก็ไม่เกิดขึ้นมาได้ เพราะผู้ปฏิบัติมีความสามารถเห็นรูปนามตามความเป็นจริง พร้อมทั้งเหตุในชาตินี้ และเหตุในชาติอดีตที่เป็นตัวการทำให้รูปนามเกิดขึ้นมา

ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาปฏิบัติถูกต้องตามสภาวธรรม ประกอบด้วยเหตุผลเข้าใจในการกำหนดพิจารณา และอาศัยเวลาตลอดจนความสันทัดจัดเจนพอสมควร แล้วได้อารมณ์ปัจจุบัน ก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ เรียกว่า วิสุทธิ

วิสุทธิที่ว่านี้ มุ่งหมายถึงความหมดจดจากกิเลส คือ บริสุทธิ์ในศีล บริสุทธิ์ในสมาธิ และบริสุทธิ์พร้อมทั้งปัญญา เข้าถึงความจริงของรูปนามที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า แม้จะเป็นไปในชั่วขณะหนึ่ง

ความบริสุทธิ์ของศีล       เรียกว่า      ศีลวิสุทธิ
ความบริสุทธิ์ของสมาธิ    เรียกว่า       จิตวิสุทธิ
ความบริสุทธิ์ของปัญญา   เรียกว่า
ทิฏฐิวิสุทธิ

ทิฏฐิวิสุทธิ คือ ความเห็นอันบริสุทธิ์ ได้แก่ความเข้าไปรู้ความจริงว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ที่เราหลงยึดมั่นผูกพันอยู่เสมอมานั้น แท้จริงมีรูปกับนามเท่านั้นเอง หาได้มีอัตตา หาได้มีตัวตนเราหรือเขาประการใดไม่ ปัญญาที่เข้าไปรู้ความจริงดังกล่าวนี้เรียกว่า ทิฏฐิวิสุทธิ อันเป็นปัญญาเบื้องต้น เรียกว่า นามรูปปริเฉทญาณ เป็นญาณที่ ๑ ที่เห็นว่า เป็นรูปเป็นนาม คนละอย่าง

เมื่อผู้ปฏิบัติมิได้ละความพยายาม ญาณปัญญาก็จะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้เป็นความบริสุทธิ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ ๒ เรียกว่า กังขาวิตรณวิสุทธิ หมายถึงเป็นความบริสุทธิ์เพราะข้ามพ้นความสงสัยในเรื่องของชีวิต
ที่พ้นความสงสัยในเรื่องของชีวิตได้ก็เพราะว่า ได้เข้าไปรู้เห็นความจริงของชีวิต คือรู้สาเหตุให้เกิดรูปกับนามว่า ไม่มีใครเป็นผู้บันดาลให้เป็นไป หากแต่อาศัยเหตุปัจจัย รูปนามจึงเกิดขึ้นมาได้

เหตุที่ทำให้เกิดรูปนามนั้นก็ได้แก่ตัวโมหะหรืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม พร้อมทั้งอาหาร จึงทำให้รูปนามเกิดขึ้น

ผู้ปฏิบัติเมื่อเข้าถึงความจริงของรูปนามอันเป็นปัจจุบันว่าอาศัยเหตุดังกล่าวนี้แล้ว จึงมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า แม้ในอดีต เราก็มีรูปนามดังนี้ อาศัยเหตุปัจจัยดังนี้…

และในอนาคตก็โดยทำนองเดียวกัน อาศัยเหตุปัจจัยเหมือนกัน …จึงข้ามพ้นความสงสัยในเรื่องชีวิต ซึ่งได้แก่รูปนามในชาติก่อน และเรื่องของชีวิต คือรูปนามในชาติหน้า

ความสงสัยในชาติก่อน ชาติหน้า จึงอันตรธานไปสิ้น ก็เพราะเข้าถึงเหตุผล ว่าอะไรบ้างเป็นตัวการทำให้เกิดรูปนาม คือชีวิตขึ้นมาได้….
ด้วยเหตุนี้เอง คราใดที่มีการปาฐกถา ลูกศิษย์ทุกๆ คนมักจะได้รับฟังความห่วงใยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเสมอว่า...

"…ผู้ใดกล่าวอ้างว่า ผีสางเทวดาไม่มี ตายแล้วเกิดอีกไม่ได้ ถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นของตัวเอง คือเป็นความเห็นส่วนตัวแล้ว ก็ไม่สู้กระไร เพราะคนทั่วไปก็มีความเห็นเช่นนั้นได้ พอที่จะให้อภัยกันได้

แต่ถ้าเป็นการกล่าวอ้างยืนยันว่า ในพระไตรปิฏก และอรรถกถา ไม่ได้แสดงเรื่องผีสางเทวดา ไม่ได้แสดงเรื่องตายแล้วมีชาติหน้า ท่านผู้ใดแสดงเผยแพร่ออกสู่มหาชน ดังนี้ก็จะเป็นผู้บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรงทีเดียว ตัวเองเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ยังนำประชาชนให้เป็นมิจฉาทิฏฐิตามตนไปด้วย เป็นบาปหนักหนา เป็นบาปที่น่าหวาดกลัวจริงๆ

ผมขอเติมคำสุดท้ายว่า ขอให้ชาวพุทธทั้งหลายได้ช่วยกันระวังรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้เท่าที่จะทำได้ ให้คงยังบริสุทธิ์ บริบูรณ์ต่อไปชั่วกาลนาน และ การรักษาพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่งที่ดีที่สุด ไม่มีอะไรดีเท่าก็คือ ศึกษาเสียให้บังเกิดความเข้าใจ

นอกจากนี้ ในหนังสือ ชีวิตภายหลังความตาย
ตอนหนึ่ง..ท่านได้เขียนไว้ว่า

….คนชอบพูดเรื่องชีวิต แต่มีน้อยคนที่รู้เรื่องชีวิตจริงๆ
คนชอบพูดถึงเรื่องทุกข์ แต่มีน้อยคนที่รู้จักทุกข์แท้ๆ
คนโดยมาก พยายามเรียกร้องหาบทพิสูจน์ แต่คนโดยมาก ไม่ยอมเข้าสู่การเริ่มต้นพิสูจน์แม้แต่สักครั้งเดียว

ท่านทั้งหลาย ท่านรักชีวิตของท่านมากมิใช่หรือ เมื่อมีผู้มาประกาศความจริงในเรื่องของชีวิตอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านไม่ปรารถนาที่จะทราบความจริงบ้างหรือ ?


แล้วพวกเรา…ล่ะ พร้อมที่จะรับคำท้าพิสูจน์ของท่านอาจารย์บุญมี หรือไม่



เพราะเราก็ยังเป็นคนประเภท

ชอบพูดเรื่องชีวิต แต่ยังไม่รู้เรื่องชีวิตจริงๆ
หรือ… ชอบพูดถึงเรื่องทุกข์ แต่ยังไม่รู้จักทุกข์แท้ๆ

แต่อย่างไร ก็ขอให้… ยอมเข้าสู่การเริ่มต้นพิสูจน์ ตามคำท้าของท่าน…..ก็ยังดี

เพราะท่านยังมีคำเตือนใจให้กับพวกเราว่า

" ท่านสาธุชนทั้งหลาย เวลาในชาตินี้เหลือน้อยลงแล้ว และจะน้อยลงไปเรื่อยๆ
จะเหลืออยู่ไม่กี่ปี หรือไม่กี่สิบปี หัวเลี้ยวหัวต่ออันเป็นนาทีทองใกล้เข้ามาทุกเวลานาที

การเดินทางซึ่งหมายถึงชาติหน้ากำลังมาถึงอย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงควรศึกษาหาความรู้ความชำนาญในหนทางที่จะต้องเดินไปนี้เสียให้ดี พิจารณาหนทางเสียให้ละเอียด เมื่ออารมณ์ครั้งสุดท้ายใกล้เข้ามา จะได้พาชีวิตไปสู่หนทางที่ราบรื่น


ถ้าเตรียมตัวเตรียมใจไว้ไม่พร้อม ก็จะตกอยู่ในความประมาท
ความพลาดพลั้งเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่หนทางที่ขรุขระกันดาร บางทีได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว




ที่มา : http://www.abhidhamonline.org/Ajan/BM.files/BM1.htm



4

กระทู้

56

โพสต์

912

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
912
โพสต์ 2017-5-11 07:10:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ประวัติการแบน|อุปกรณ์พกพา|ข้อความล้วน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-4-19 20:31 , Processed in 0.083386 second(s), 19 queries .

Powered by Discuz! X3.4, Rev.75

Copyright © 2001-2021 Tencent Cloud.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้