ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 825|ตอบกลับ: 8

เพียงเพื่อความสุข ๖.

[คัดลอกลิงก์]

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
เพียงเพื่อ.jpg



อภัยทาน คือ การให้ที่ไม่มีภัย ให้ความปลอดภัย มีความหมายเป็น ๒ ทาง คือ ฝ่ายรูปธรรมและฝ่ายนามธรรม

ฝ่ายรูปธรรม ได้แก่การปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยสัตว์ต่างๆ เนื่องในวันคล้ายวันเกิด หรือปล่อยเป็นประจำก็แล้วแต่ การปล่อยสัตว์เหล่านี้ ควรพิจารณาด้วยว่า มันยังแข็งแรงพอที่จะเลี้ยงตัวรอดหรือไม่ หรือเป็นสัตว์ที่เขาเลี้ยงสำหรับปล่อย พอปล่อยแล้วมันก็บินไปหาเจ้าของอีก

สำหรับปลานั้น ควรที่จะไปซื้อที่เขาขายในตลาด หรือที่เขากำลังจะฆ่า ก็ย่อมจะยิ่งได้บุญแรงมาก การปล่อยนก ปลา หรือเต่า ควรดูสถานที่ปล่อยด้วยว่าจะลำบาก หรือปลอดภัย กับมันด้วยหรือไม่

การปล่อยสัตว์นี้มีอานิสงส์มาก เพราะเป็นการให้ความมีชีวิตเป็นทาน ส่วนมากมักจะมีอานิสงส์ทันตาเห็นเสียด้วย คนที่มีจิตเมตตาสูง ให้ชีวิตสัตว์เป็นทานนี้ อยู่ที่ไหนก็ไม่ลำบากมักจะมีผู้ช่วยเหลือ และอายุก็ยืนด้วย

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-8 10:42:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ฝ่ายนามธรรม ได้แก่การให้อภัย การไม่ถือโกรธ ไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตพยาบาท มีอานิสงส์ทันตาเห็น คือ จะเป็นคนที่ไม่มีภัยและเวรกับใคร ผิวหน้าผ่องใส จิตใจก็ชื่นบานใจ เย็นและสงบ จะอยู่ที่ไหนก็มีความสุข เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วๆ ไป

ถ้าจะทำบุญให้มันครบเครื่องจริงๆ ก็ควรที่จะต้องบำเพ็ญอภัยทานด้วย เพราะไม่ต้องเสียเงินและเสียเวลาเลย เพียงแต่ล้างความคิด ที่เคยผูกอาฆาต พยาบาท เกลียดชังออกจากใจเสียเท่านั้น ใจก็ย่อมผ่องใส ด้วยการแผ่เมตตา ปรารถนาความสุขความเจริญแก่สัตว์และคนโดยทั่วๆ ไป

ถ้าทำได้และทำประจำ ก็ย่อมจะเกิดอานิสงส์ทันตาเห็น คือ ตนเองย่อมได้รับความสุขสงบและเย็นอยู่เป็นนิจ ดังนั้นผู้หวังความสุขสงบเย็น นอกจากจะบำเพ็ญอภัยทานแล้ว ก็ควรจะต้องบำเพ็ญในชีวิตประจำวันด้วย

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-8 10:42:52 | ดูโพสต์ทั้งหมด

การทำทานทำความดีนั้น ที่จะให้เกิดบุญกุศลเปี่ยมนั้น จะต้องรักษาศรัทธาคือความเชื่อและปสาทะคือความเลื่อมใส ให้มั่นคงเสมอต้นเสมอปลายตลอดเวลา ประกอบด้วย ๓ กาล คือ

๑. ก่อนให้ดีใจ
๒. กำลังให้เลื่อมใส
๓. ให้แล้วปลื้มใจ

ความจริงชาวพุทธไทยส่วนใหญ่ ก็สนใจแต่เรื่องทานหรือปัจจัย ๔ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่มันไปมีมากเหลือเฟือ ก็เฉพาะพระที่เป็นสมภาร หรือเทศน์เก่งๆ หรือประจบเก่งๆ

ส่วนพระที่ท่านปฏิบัติดี และปฏิบัติตรงต่อธรรมะนั้นพี่น้องส่วนใหญ่มักจะไม่ชอบ หรือไม่รู้จัก เพราะท่านประจบไม่เป็น ไม่ชอบรับแขก และไม่ค่อยปรากฏตัวต่อสาธารณะ ความเป็นอยู่ของท่านค่อนข้างจะขาดแคลน บางแห่งถึงกับอยู่ไม่ได้ก็มี เพราะขาดผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสเป็นเหตุให้ขาดปัจจัย ๔ ที่ผู้คนมาถวายเป็นต้น

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-8 10:43:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ดังนั้นเราท่านจึงจะต้องมีปัญญาคู่กับศรัทธาเสมอ การกระทำของเราก็ย่อมจะไม่มีส่วนเกินหรือส่วนขาด ทำให้พระดีอยู่ได้ แต่พระร้ายจะอยู่ยาก ชีวิตของพระจะอยู่ได้ ก็ต้องอาศัยปัจจัย ๔ และกาลิก ๔ ที่ฆราวาสนำมาถวาย ถ้าไม่มีปัจจัย ๔ เป็นที่อาศัยเสียแล้ว ชีวิตพระเณรก็อยู่ไม่ได้ ถ้าพระเณรไม่มีก็เหมือนกับคนกลุ่มนั้นได้ไกลจากพระพุทธศาสนา

ฉะนั้นพระกับฆราวาสจึงแยกกันอยู่ไม่ได้ เพราะเป็นกำลังสนับสนุนด้วยกัน ศาสนาจะมั่นคงอยู่ได้ก็เพราะทายกและปฏิคาหก ให้ความร่วมมือกัน

ดังคำว่าพระพุทธศาสนาจะมั่นคงอยู่ได้ก็พระแท้ พระพุทธศาสนาจะย่ำแย่ก็เพราะฆราวาส ไม่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ นี่เป็นจุดใหญ่ ความเสื่อม ความมั่นคง ของพระพุทธศาสนาอยู่ที่จุดนี้

ทางพระก็มีหน้าที่ไว้ ซึ่งพระธรรมวินัยปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วเอาสิ่งที่ปฏิบัติดีนั้นมาสอนให้อุบาสกอุบาสิกา ให้มีความเข้าใจในคำสอน แล้วเอาไปปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริง

ส่วนฆราวาสก็มีหน้าที่ส่งเสริมปัจจัย ๔ ในส่วนสิ่งที่พระท่านขาดแคลนในสิ่งที่จำเป็น

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-8 10:43:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ส่วนการทำบุญด้วยวัตถุทานนั้น ไม่เป็นด้วยกับการก่อสร้างศาสนสถานที่วิจิตพิสดารเกินความจำเป็น วัตถุทางพระพุทธศาสนาที่มีอยู่ทุกวันนี้ ก็เกิดกำลังที่จะบูรณะปฏิสังขรณ์อยู่แล้ว

พวกเรา ทำไมไม่เร่งสร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ เร่งสร้างคนให้เป็นพระแท้ ทำไมต้องเร่งสร้างวัตถุแข่งขันกัน การสร้างแต่วัตถุ แล้วปล่อยให้จิตใจของชาววัด และชาวบ้านเสื่อมโทรมอย่างทุกวันนี้ เพื่ออะไรกัน แล้วศาสนาจะไปรอดอย่างไรกัน

พุทธศาสนาทุกวันนี้สวยแต่โบสถ์และเจดีย์เท่านั้น ส่วนคนที่อยู่ในวัดไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามหลังคำสอนของพระศาสนา มันเป็นการสมควรแล้วหรือ

ในการทำบุญนั้น ชาวพุทธส่วนมาก มักจะติดอยู่แต่วัตถุทาน เห็นคนอื่นเขาทำกัน เขาสร้างสิ่งโน้นสิ่งนี้ก็อยากจะทำกับเขาบ้าง แต่วัตถุทั้งหลายนั้นมันไม่อำนวยให้แก่ตนผู้ทำไป ก็เลยมีความทุกข์ใจน้อยใจในวาสนาของตน การทำบุญทำความดีในทางพระพุทธศาสนานั้น จะต้องไม่ทำให้ตนเอง และผู้อื่นเดือดร้อนจึงจะถือว่าเป็นบุญที่สมควร

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-8 10:44:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด

เมื่อเราทำบุญด้วยวัตถุไม่ได้ เราก็หัน มาทำบุญด้วยการรักษาศีลเจริญภาวนาก็ได้ แถมยังเป็นบุญที่สูงกว่า และประเสริฐกว่า ชนิดเทียบกันไม่ได้เลย เพราะสามารถตัดภัยเวร ทำให้หมดภพชาติได้ และดับทุกข์ทางใจได้ ยังไม่ต้องเสียเงินทองด้วย

ถึงแม้ในการรักษาศีลและปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ จึงจะเข้าใจได้อย่างซาบซึ้ง ไม่ใช่แต่เพียงคิดเอา หรือได้แต่พูดอย่างเดียว

แม้ในการปฏิบัติก็ต้องมีปริยัติ คือความรู้เป็นแนวทางบ้าง ถ้าไม่มีเสียแล้ว ก็อาจจะหลงทางได้ ดังเช่นว่าเราตั้งใจจะเดินทางไปให้ถึงทางหนึ่ง แต่เราเดินหลงทางไปอีกทางหนึ่ง เราก็ไม่อาจที่จะบรรลุจุดหมายปลายทางที่เราตั้งใจจะไปได้ การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้องแล้ว ก็ไม่อาจจะสำเร็จมรรคผลได้

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-8 10:44:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ฉะนั้น ในเมื่อมีชีวิตอยู่ก็ควรที่จะตั้งอยู่ในความดี ด้วยการรักษาศีลปฏิบัติบูชา ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ประพฤติตนให้อยู่ในขอบเขตของคนที่มีศีลมีธรรมะอยู่ในใจเสมอ ประกอบอาชีพด้วยความสุจริตไม่คดโกงหรือเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความตรมใจ

การทำความดีส่งผลให้เห็นในปัจจุบันนี้ทีเดียว ไม่ต้องรอหวังผลในชาติหน้าเลย เราทำความดีแล้วจิตใจก็ชื่นบานมีความปีติ ไปทางไหนก็ไม่มีพิษมีภัยกับใคร ตรงกันข้าม

ถ้าเราทำความชั่วแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรู้ แต่ตัวของเรารู้ จิตใจก็ไม่สงบ ระแวงภัยอยู่เสมอ จิตใจก็ไม่เป็นสุข

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-8 10:45:19 | ดูโพสต์ทั้งหมด

และในที่สุดบุญกุศลนี้เองจะตามคอยอุปถัมภ์ให้เรามีชาติหน้าที่สะดวก มีความสบายคล่องตัวในการที่จะมุ่งเดินทาง ในเส้นทางสายพระ ตามคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงชี้แนะไว้ ให้พุทธบริษัททั้งหลายประพฤติและปฏิบัติ โดยเฉพาะ..สติปัฏฐาน ๔ อันเป็นทางสายเอกเพียงสายเท่านั้น ที่จะนำชีวิตเราท่านผู้มีความเพียรออกจากภัยในวัฏฏะสงสารได้

ด้วยกุศลจิตอันเกิดการเขียนเรื่อง เพียงเพื่อความสุขนี้ ขอจงมาเป็นตบะเดชะ พลวะปัจจัยให้กุศลนี้จงเอื้ออำนวยพรให้ท่านทั้งหลาย จงได้รับผลของกุศลนี้ด้วย และเป็นแรงปัจจัยให้ท่านก้าวเดินไปกับชีวิตนี้ได้สะดวก ปลอดภัยจากวิบากที่ร้ายแรง และสามารถพาชีวิตของท่านไปสู่จุดหมายปลายทาง อันเป็นความสุขที่สถาพร คือแก่พระนิพพานได้ทั่วทุกท่านเทอญ.


238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-8 10:46:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ดาวดวงนั้น...เธอฝันจะไปถึง
และฝังตรึงความหวังในจุดหมาย
วาดโครงร่างเพริศแพร้วแววประกาย
สุขไม่คลายในหวังตั้งใจปอง

หลายเดือนปีคงมีแต่ความหวัง
โครงการยังไม่เริ่มเพิ่มสนอง
ไร้กำหนดจรดงานสานครรลอง
ได้แต่มองดวงดาวไม่ก้าวเดิน

เหมือนอยากรวยติดอันดับรับเงินล้าน
มีทรัพย์สินล้นพานเทียมเขาเขิน
แต่นอนวาดวิมานฝันหวานเพลิน
ทั้งมองเมินทำมาหาเลี้ยงตน

แม้นเป้าหมายวางไว้อย่างสูงค่า
มิใช่สิ่งบ่งว่าจะสบผล
ด้วยมิอาจวัดคุณภาพคน
ว่าพากเพียรอดทนมากเพียงไร

เหมือนความดีที่หมายจะได้ดี
เรียนเพียงทฤษฎีได้ไฉน
ต้องเริ่มฝึกที่กายวาจาใจ
หาเพียงใช่แม่นหลักการอ่านหลักธรรม

แผ่เมตตาอย่าว่าค่าน้อยนิด
หมั่นฝึกจิตคลายโกรธโทษถลำ
บริจาคแม้น้อยตั้งใจทำ
กุศลจักน้อมนำให้เปี่ยมแรง

คือก้าวแรกแยกชีวิตให้คิดถูก
เริ่มฝังปลูกบันไดไปหาแสง
บำเพ็ญไตรสิกขาไม่คลางแคลง
ประจักษ์แจ้งจุดหมายได้สักวัน


ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
บุษกร เมธางกูร.


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-11-24 09:30 , Processed in 0.107716 second(s), 32 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้