ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 1379|ตอบกลับ: 10

พิธีวิสาขบูชา

[คัดลอกลิงก์]

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138

พิธีวิสาขบูชา
โดย..พระครูศรีโชติญาณ


วิสาขบูชา เป็นการบูชากันในวันวิสาขะ จัดเป็นพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สังฆกรรม เป็นพิธีกรรมที่กำหนดเอาว่า วันนี้เป็นวันสำคัญที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา คือเป็นวันคล้ายกับวันเสด็จประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้เวียนมาบรรจบครบพอดีในวันเพ็ญวิสาขฤกษ์ กลางเดือน ๖ (หรือกลางเดือน ๗ ในปีที่มีอธิกมาส)

ตามหลักฐานที่ท่านได้กำหนดไว้ดังนี้ วันประสูติจากพระครรภ์พระมารดา เป็นวันศุกร์ เดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีจอ ก่อนพุทธศก ๘๐ ปี

วันตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นวันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะเส็ง ก่อนพุทธศก ๔๕ ปี

วันเสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นวันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะเส็ง ก่อนพุทธสก ๑ ปี

เมื่อถึงวันสำคัญเช่นนี้ ชาวพุทธทั่วโลกทั้งในและต่างประเทศ ต่างถือโอกาสบำเพ็ญกุศลกันเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งแต่ละแห่งก็มีพิธีไม่เหมือนกัน แต่ในที่นี้จะขอแสดงพิธีไว้สักแนวหนึ่ง ซึ่งก็นิยมทำกันเป็นส่วนมากดังต่อไปนี้

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-9 12:24:39 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เมื่อวันสำคัญเช่นนั้นได้เวียนมาถึง ประชาชนชาวพุทธจะถือโอกาสทำบุญกันตามวัด สถานลานพระเจดีย์และพุทธสถานโดยทั่วไป

เวลาประมาณ ๐๘.๐๐ น. จะมีพิธีทำบุญตักบาตร ก่อนตักบาตรหัวหน้านำไหว้พระสมาทานเบญจศีล แล้วลงไปตักบาตร พระสงฆ์สามเณรสวดถวายพรพระ เมื่อพุทธบริษัทตักบาตรเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่และศิษย์วัดจะยกอาหารคาวหวานขึ้นมาวางไว้ตรงหน้าพระสงฆ์สามเณร จากนั้นหัวหน้าอุบาสกจะนำถวายทานแล้วประเคน ขณะพระสงฆ์ฉันภัตตาหารจะมีการเทศน์เรื่องวิสาขะ ๑ กัณฑ์ จบแล้วพระสงฆ์สามเณรอนุโมทนา เป็นอันว่าเสร็จพิธีไปตอนหนึ่ง

เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. อุบาสกอุบาสิกาที่รอรับอุโบสถศีล จะร่วมกันทำวัตรสวดมนต์ แล้วจะมีการฟังเทศน์อุโบสถอีก ๑ กัณฑ์

เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. พระสงฆ์สามเณรฉันภัตตาหารเพล

เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. พระสงฆ์ลงฟังพระปาติโมกข์ สามเณรรับศีลหลังจากพระสงฆ์ลงฟังปาติโมกข์เสร็จแล้ว

เวลาประมาณ ๑๘.๓๐ น. หรือ ๖ โมงครึ่ง พระสงฆ์สามเณรลงไปพร้อมกันที่บริเวณโบสถ์เพื่อทำพิธีวิสาขบูชา โดยสัญญาณระฆัง

เมื่อพระสงฆ์สามเณรพุทธบริษัทพร้อมกันแล้ว หัวหน้าอุบาสกจะนำนมัสการพระรัตนตรัย สมาทานเบญจศีล แล้วรับฟังโอวาท ซึ่งพระเถระผู้เป็นประธานจะกล่าวบุรพประโยคเกี่ยวกับความสำคัญของวันวิสาขบูชาก่อน เมื่อจบแล้ว จากนั้นทุกคนจะต้องหันหน้าไปยังพระประธาน ประธานสงฆ์จะลุกขึ้นจุดเทียน ธูป แล้วนำขึ้นว่า "หนฺท มยํ ปุพฺพภาคนมการํ กโรมา เส"

ทุกคนว่า นโม พร้อมกัน ๓ จบ จากนั้นประธานสงฆ์จะกล่าวนำว่า "อชฺชายํ, วิสาขปุณฺณมี, สมฺปตฺตา, วิสาขนกฺขตฺเตน, ปุณฺณเจนฺโท ยุตฺโต, ยตฺถ ตถาคโต, อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิสาขปุณ์ณมิยํ, ชาโต, อนฺติมาชาติยา, ปตฺโต จ, อภิสมฺโพธึ, ฯลฯ สาธุ โน ภนฺเต, ภควา , สุจิรปรินิพฺพุโตปิ กรุณาทีหิ, คุเณหิ, ธรมาโน, อิเม สกฺกาเร, ทุคฺคตปณฺณาการภูเต, ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ, หิตาย สุขาย.

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-9 12:25:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
คำแปล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงไว้ซึ่งพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ได้ประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในวิสาขปุณมี

พระพุทธจริยานี้ บังเกิดประโยชน์อันยิ่งใหญ่ แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย แม้เกิดมาภายหลังให้ได้รับพระศาสนา มีปัญญารักษาตน

วันนี้ เป็นวันวิสาขปุณมี ข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นพุทธมามกะ รำลึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขอถวายปฏิญญาณว่า

ข้าพเจ้าจักตั้งอยู่ในศีลธรรมของพระพุทธศาสนา เป็นศาสนทายาทตลอดชีวิต และขอนอบน้อมบูชา แด่พระพุทธองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ณ บัดนี้

ด้วยอานุภาพแห่งการบูชา ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย จงปราศจากทุกข์ มีความสุข รู้แจ้งเห็นจริงในศาสนาของพระองค์ ตลอดกาลนานเทอญฯ (คัดจากประมวลระเบียบกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๑๕ หน้า ๔๖๙-๔๗๐)

เมื่อนำกล่าวคำบูชาเสร็จแล้ว จากนั้นก็ให้ทุกคนจุดเทียน ธูป รวมทั้งดอกไม้เตรียมตัวเรียงแถวเดินตามพระสงฆ์สามเณร จะเป็นแถวละ ๕ หรือ ๖ ก็ตามแต่จะเห็นสมควร แล้วก็เดินเวียนขวาทำประทักษิณ ๓ รอบ ในรอบที่ ๑ จะมีพระสงฆ์ประมาณ ๕ รูปเจริญพระพุทธคุณออกขยาเสียงอันดัง และชัดเจนออกอากาศไปพร้อมกับการเดินเวียนนั้น ทุกคนที่เดินก็จะต้องส่งจิตให้ติดไปกับเสียงของพุทธคุณนั้น จนกว่าจะจบรอบที่ ๑

เมื่อจบรอบที่ ๑ แล้ว จากนั้น พระสงฆ์ก็จะเริ่มเจริญพระธรรมคุณตั้งแต่ สฺวากฺขาโต เป็นต้นไป แล้วทุกคนที่เดินด้วยความสำรวมก็จะต้องส่งจิตน้อมรำลึกถึงพระธรรมคุณไปกับเสียงที่สวดนั้น จนกว่าจะจบรอบที่ ๒

เมื่อจบรอบที่ ๒ แล้ว พระสงฆ์ก็จะเริ่มสวดบทพระสังฆคุณว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ เป็นต้นต่อไป ทุกคนที่เดินเวียนเทียนก็จะต้องส่งจิตให้น้อมระลึกไปกับเสียงที่สวดนั้นจนกว่าจะจบรอบที่ ๓

เมื่อครบ ๓ รอบแล้วก็ให้นำดอกไม้ เทียน ธูป ไปวางรวมไว้ยังสถานที่ที่ทางวัดจัดรับรองไว้ จากนั้นพระสงฆ์ สามเณร พุทธบริษัททุกคน ก็จะร่วมกันทำวัตร นมัสการพระรัตนตรัย และสวดบทที่เกี่ยวกับวันสำคัญของพระพุทธเจ้า และบทที่เห็นว่าเป็นมงคลพอควร

หลังจากนั้น ก็จะได้จัดให้มีการอภิปรายธรรม หรือเทศน์ หรือสากัจฉาเกี่ยวกับเรื่องของวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาานไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นลงด้วยเวลา บางวัดก็ถือโอกาสทำกันจนสว่าง อันนี้ก็จะต้องแล้วแต่ประเพณีในท้องถิ่นนั้นๆ

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-9 12:26:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
กำหนดเหตุการณ์เกี่ยวกับการประสูติ

๑. พระสิทธัตถราชกุมารทรงประสูติโดยถือปฏิสนธิอยู่ในพระครรภ์พระนางสิริมหามายาเทวี

๒. พระคัรถรจนาจารย์ได้พูดถึงเหตุที่พระนางเสด็จไปพระพาสสวนลุมพินีวัน

๓. พระสิทธัตถราชกุมารทรงประสูติ ณ ภายใต้ไม้รัง

๔. พระคันถรจนาจารย์ได้กล่าวถึงอภินิหารของสิทธัตถราชกุมารว่า พรอประสูติแล้วก็ทรงพระดำเนินด้วยพระบาทได้เจ็ดก้าวเป็นต้น ตลอดถึงพระมหาปุริสลักษณะ คติ และทรงเปล่งพระอุทานวาจาว่า "อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส ฯ " อันเป็นสัญลักษณ์แห่งพระอภิสัมมาสัมโพธิญาณเป็นต้น อย่างที่ไม่เคยมีมาฯ

๕. อสิตดาบส หรือที่นิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "กาฬเทวินดาบส" ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้าอัญชนะ พอได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของพระเจ้าสิริสุทโธทนะประสูติใหม่ๆ ก็ได้เข้าไปเยี่ยม

๖. บรรดาราชตระกูลเมื่อได้รับทราบ ต่างก็ยอมถวายโอรสของตนๆ ให้เป็นบริวาร

๗. พอประสูติได้ ๕ วันก็ขนานพระนาม พอครบ ๗ วันพระพุทธมารดาก็ทิวงคต พระนางทรงมีพระชนมายุได้เพียง ๒๖ พระพรรษาเท่านั้น

๘. พอพระสิทธัตถราชกุมารทรงมีพระชนมายุได้เพียง ๗ ปีเท่านั้น พระราชบิดาก็สั่งให้ขุดสระโบกขรณีขึ้น ๓ สระ แล้วก็ทรงให้ศึกษาศิลปวิทยาอยู่ในสำนักของครูชื่อวิสวามิตร

๙. พระคันถรจนาจารย์ได้พูดถึงอภินิหารของพระมหาบุรุษว่า ทรงได้ปฐมฌานแต่ทรงพระเยาว์ ในคราวแรกขวัญก็มีความมหัศจรรย์เกี่ยวกับฌานฤทธิ์

๑๐. พระชนมายุของพระราชกุมารได้ ๑๖ พรรษา ก็ทรงอภิเษกสมรส

๑๑. พระเจ้าสิริสุทโธทนะ ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้สิทธัตถราชกุมารอยู่ครองฆราวาส จึงทรงหาทางผูกพันธนาการด้วยการสร้างความสุขให้แก่พระราชกุมารทุกอย่าง

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-9 12:26:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เหตุอัศจรรย์ที่ปรากฏแก่พระมารดาก่อนที่พระราชกุมารจะประสูติ

วันพฤหัสบดี อาสาฬหปุรณมีดิถีเพ็ญเดือน ๘ ปีระกา เป็นวันที่พระโพธิสัตว์เจ้าจะเสด็จจุติจากดุสิตพิมานลงมาปฏิสนธิยังพระครรภ์ของพระมารดานั้น ในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง พระนางสิริมหามายาได้ทรงพระสุบินนิมิตไปว่า

๑. ได้มีจาตุมหาราชทั้ง ๔ ได้เข้ามายกเอาพระองค์ไปทั้งพระแท่นไสยาสน์ มุ่งตรงไปยังป่าหิมพานต์แล้วก็วางลงบนแผ่นศิลาอันใหญ่ ภายใต้ไม้รังใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วมีเทพยดาทั้งหลายมาเชิญไปสรงน้ำยังสระอโนดาต ที่ท่าเป็นที่สรงแห่งพระราชมารดา แล้วจึงผลัดเปลี่ยนด้วยผ้าทิพย์ ลูบไล้ด้วยสุคนธชาติ และประดับประดาด้วยทิพยบุปผามาลัยชาติ

๒. ในที่ใกล้นั้น มีภูเขาเงิน มีวิมานทองอยู่บนภูเขานั้น แล้วเทพยดาก็เชิญขึ้นสู่วิมานทองนั้น ให้บรรทมโดยบ่ายพระเศียรไปทางปัจฉิมทิศ

๓. ในสถานที่ใกล้กับภูเขาเงินนั้นมีสุวรรณคีรีลูกหนึ่ง และมีพระยาช้างเผือกขาวผ่องเชือกหนึ่ง เที่ยวอยู่บนสุวรรณคีรีนั้น แล้วก็ลงมาจากสุวรรณคีรี ขึ้นไปบนภูเขาเงินทางทิศอุดร ชูงวงร้องโกญจนาทเข้ามาในวิมานทองแล้วก็ทำประทักษิณพระองค์ถ้วน ๓ รอบ ปรากฏเหมือนเข้าไปในพระอุดรประเทศทางด้านทิศใต้ของพระองค์

พราหมณ์ ๖๔ คน ต่างกราบทูลถวายพยากรณ์ว่า พระสุบินนี้ประเสริญนักหนา พระราชโอรสในพระครรภ์นั้น จะเป็นอัครบุรุษ ไม่ใช่สตรี จะเป็นผู้มีบุญญานุภาพมาก ถ้าอยู่ครองฆราวาส จะได้เป็นบรมจักรพรรดิราชา ถ้าทรงออกบรรพชา ก็จะได้เป็นถึงพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-9 12:27:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด
กำหนดเหตุการณ์เกี่ยวกับการตรัสรู้

๑. พระบรมศาสดาได้ทรงพบกับพระเจ้าพิมพิสาร

๒. เสด็จไปศึกษาอยู่ในสำนักของอาฬารดาบส และอุทกดาบส ซึ่งอาศรมอยู่ในแคว้นสักกชนบท แต่ไม่ทรงพอพระทัยในลัทธิทั้งสองนั้น

๓. เสด็จไปในมคธชนบท เห็นว่าที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมนี้ เป็นสถานที่ร่มรื่นเงียบสงัดดี จึงประทับบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมนั้น

๔. ได้มีอุปมา ๓ ข้อมาปรากฏแก่พระองค์ ได้ทรงตัดสินพระราชหฤทัยว่า ความพอใจในกาม เป็นเหตุขัดขวางทางตรัสรู้ จึงทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา เพื่อกำจัดมิให้หมกมุ่นอยู่ในกามอารมณ์ ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ก็ไม่สามารถจะตรัสรู้ได้ จึงทรงเลิกทุกรกิริยานั้นเสีย แล้วหันกลับมาบำเพ็ญความเพียรทางสมาธิและวิปัสสนาปัญญาใหม่ จึงได้ตรัสรู้

๕. ได้ทรงบรรลุญาณทั้ง ๓ ตามลำดับในยาม ๓ คือ ยามต้นได้บรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ ยามท่ามกลางได้บรรลุจุตูปปาตญาณ ยามสุดท้ายได้บรรลุอาสวักขยญาณ

๖. ก่อนที่จะตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ได้รับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา ทรงเสวยแล้ว ทรงอธิษฐานลอยถาดข้าวมธุปายาสในแม่น้ำเนรัญชรา

๗. ขณะเดินมาพบกับคนหาบหญ้าชื่อโสตถิยพราหมณ์ แล้วรับถวายหญ้าที่พราหมณ์นั้นถวาย

๘. เมื่อทรงตั้งพระราชหฤทัยแน่วแน่แล้ว ก็ทรงกระทำความเพียรที่เป็นประธานใหญ่ ๔ ประการ ตามบาลีที่ว่า

โลหิเต สุสฺสมานมฺหิ ปิตฺตํ เสมฺหํ จ สุสฺสติ
มํเสสุ ขียมาเนสุ ภิยฺโย จิตฺตํ ปสีทติ
ภิยฺโย สติ จ ปญฺญา จ สมาธิ มม ติฏฐติ.

ความว่า ถึงแม้โลหิตจะแห้งไป ดีและเสมหะจะแห้งไป เนื้อทั้งหลายกำลังจะสิ้นไป จิตก็ย่อมผ่องใสยิ่งขึ้น สติ ปัญญา และสมาธิของข้าพเจ้าก็ตั้งมั่นยิ่งขึ้น

๙. ในตอนเย็นของวันวิสาขมาสปุณณมีนั้น ยังไม่ทันพระอาทิตย์จะอัสดงคต ก็ทรงผจญมารจนได้ชัยชนะ

ข้อที่ควรทราบ พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโอรสของพระเจ้าโพธิสะหรือพระเจ้าพาทิยะ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า "ภาติกะ" พระมารดาชื่อว่า "เวทหธันธะ" ซึ่งก็เป็นน้องสาวของพระเจ้าปเสนทิโกศล พาทิยราชกับพระเจ้าสิริสุทโธทนะ ต่างก็เป็นพระสหายกัน พระเจ้าพิมพิสารทรงมีพระชนมายุอ่อนกว่าพระพุทธเจ้า ๕ พรรษา ทรงครองราชสมบัติตั้งแต่พระชนมายุได้ ๑๕ พรรษา ทรงอยู่ในราชสมบัตินานถึง ๔๒ พรรษาจึงเสด็จทิวงคต ทรงมีพระราชโอรสพระนามว่า "อชาตศัตรู"พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาได้ ๔๕ พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-9 12:28:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด
มหาสุบินนิมิต ๕ ประการที่ปรากฏก่อนที่จะตรัสรู้

ก่อนที่จะตรัสรู้ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ได้ทรงพระสุบินนิมิตไปว่า

๑. พระองค์ทรงบรรทมหงายพระวรกายเหนือมหาปฐพี มีขุนเขาหิมพานต์เป็นเขนย ทรงบ่ายพระเศียรไปทางทิศอุดร พระบาททั้งสองเหยียดข้ามหาสมุทร จนจดยอดเขาจักรวาลด้านทักษิณ พระหัตถ์ซ้ายเหยียดข้ามมหาสมุทรจนสุดยอดขุนเขาจักรวาลด้านทิศบูรพา พระหัตถ์ขวาเหยียดข้ามมหาสมุทรจนสุดยอดเขาจักรวาลด้านปัจฉิมทิศ

๒. ทรงพระสุบินนิมิตไปว่า ได้มีหญ้าคางอกขึ้นที่นาภี มีก้านล้วนแล้วไปด้วยแก้วใหญ่ประมาณเท่าคันไถ เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น ก็สูงขึ้นไปๆ จนจดนภากาศนับด้วยพันโยชน์

๓. ทรงพระสุบินนิมิตไปว่า ได้มีกิมิชาติหมู่หนอน ตัวมีสีขาว แต่ศีรษะดำ ไต่ขึ้นมาแต่พระบทจนถึงพระชานุคือหัวเข่า

๔. ทรงพระสุบินนิมิตไปว่า ได้มีนกสี่จำพวก มีพรรณของกายสี่สี ได้พากันบินมาจากทิศทั้งสี่ แล้วก็มาหมอบลงแทบพระบาทของพระองค์ แล้วก็กลับกลายเป็นสีขาวไปทั้งสี่จำพวก น่าอัศจรรย์

๕. ทรงพระสุบินนิมิตไปว่า พระองค์ได้ทรงเดินจงกรมไปบนภูเขาซึ่งเต็มไปด้วยคูถ แต่พระบาทนั้นมิได้แปดเปื้อนแม้แต่น้อยหนึ่งเลย

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-9 12:29:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด
พระพุทธองค์ทรงทำนายพระสุบินนิมิตด้วยพระองค์เอง

๑. พระสุบินนิมิตข้อที่หนึ่งนั้น ทรงทำนายว่า พระพุทธองค์จะได้ตรัสรู้แก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ แม้ที่ทรงฝันไปว่า ที่มีขุนเขามารองรับเป็นเขนยนั้น ก็ได้แก่จะตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเช่นกัน ที่ว่าได้ทรงเหยียดพระหัตถ์และพระบาทออกไปยังมหาสมุทรจนสุดเขาจักรวาลนั้น ก็ได้แก่จะได้มีโอกาสแสดงเทศนาและประกาศคำสอนโปรดเวไนยทั่วโลกธาตุ

๒. พระสุบินนิมิตข้อที่สองนั้น ทรงทำนายว่า ที่ทรงบรรทมหงายพระวรกายนั้น ทรงทำนายว่า บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่พากันนอนคว่ำหน้าอยู่ภพทั้งสาม จะได้พากันมีโอกาสหงายหน้าขึ้นมาฟังธรรมแล้ว จะได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน

๓. พระสุบินนิมิตข้อที่สามที่ว่า มีกิมิชาติหมู่หนอนสีกายขาวหัวดำเที่ยวไต่ตามพระบาทขึ้นมาจนถึงพระชานุหัวเข่านั้น ทรงทำนายว่า จะมีมวลมนุษย์ที่มีวาสนาบารมีพากันนุ่งขาวห่มขาวเข้ามาฟังธรรม แล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส ก็จะอุทิศเพศบวชเข้าถึงพระรัตนตรัยกันเป็นอันมาก

๔. พระสุบินนิมิตข้อที่สี่ว่า มีนก ๔ จำพวก มีกายสี่สี และบินมาแล้วก็หมอบลงที่พระบาทแล้วก็กลายเป็นสีขาวนั้น ทรงทำนายว่า ได้แก่ กุลบุตร กุลธิดา ที่มีศรัทธาจากวรรณะทั้งหลาย จะพากันออกบวชปฏิบัติธรรมแล้วก็จะกลับกลายเป็นผู้ขาวสะอาดเหมือนกันหมด

๕. พระสุบินนิมิตข้อที่ห้าที่ว่า ทรงดำเนินจงกรมไปบนภูเขาใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยคูถ แต่คูถนั้นมิได้แปดเปื้อนพระบาทเลยแม้แต่น้อย ก็ทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปเมื่อได้ตรัสรู้ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว หลังจากประกาศพระพุทธศาสนาให้พุทธบริษัท ๔ เกิดศรัทธาเลื่อมใสแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุข จะไหลมาเทมาสักการะบูชาพระพุทะองค์อย่างล้นเหลือ ทั้งที่เป็นของมนุษย์และของที่เป็นทิพย์ แต่พระพุทธองค์มิได้ทรงติดและยินดีในลาภและสักการะนั้นเลยแม้แต่น้อย

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-9 12:29:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ความย่อเกี่ยวกับการดับขันธปรินิพพาน

ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ก็เสด็จเข้าอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ

เมื่อพระอานนท์ถามพระอนุรุทธะว่า พระพุทธองค์ทรงพระนิพพานแล้วหรือยัง เมื่อพระพุทธองค์ทรงดับขันธปรินิพพานแล้วในปัจฉิมยามแห่งวิสาขปุณณมีดิถีขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖

ความมหัศจรรย์ต่างๆ มีแผ่นดินไหวเป็นต้น กลองทิพย์บันลือลั่นขึ้นพร้อมกับการเสด็จดับขันธปรินิพพาน เนื่องในการเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระมหากรุณาธิคุณเจ้า ได้มีผู้กล่าวคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวชสลดจิตหายท่านด้วยกัน

๑. ท้าวมสหัมบดีพรหมได้กล่าวสังเวคคาถาว่า

สพฺเพว นิกฺขิปิสฺสนฺติ        ภูตา โลเก สมุสฺสยํ
ยตฺถ เอตานิโส สตฺถา        โลเก อปฺปฏิปุคฺคโล
ตถาคโต พลปฺปตฺโต        สมฺพุทฺโธ ปรินิพฺพุโต.

ความว่า บรรดาสัตว์ทั้งมวลล้วนทั่วหน้าไม่มีเหลือในโลก ล้วนทอดทิ้งร่างกายไว้ถมปฐพีในโลกไรเล่า แต่พระตถาคตเจ้าจอมศาสดา ทรงพระคุณใหญ่หลวงถึงอย่างนี้ ไม่มีผู้ใดจะเสมอเหมือน ทรงเป็นะรัสยัมภูญาณตรัสรู้โดยชอบได้ด้วยพระองค์เอง ทรงบรรลุถึงซึ่งทศพลญาณ ยังต้องเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ควรจะสังเวชสลดนักฯ

๒. ท้าวโกสีเทวราชกล่าวสังเวคคาถาว่า

อนิจฺจา วต สงฺขารา        อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺชิตวา นิรุชฺฌนฺติ        เตสํ วูปสโม สุโข.

ความว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป การเข้าไประงับดับเสียซึ่งสังขารทั้งหลายเหล่านั้นได้ เป็นสุขฯ

๓. พระอนุรุทธเถระกล่าวสังเวคคาถาว่า

นาหุ อสฺสาสปสฺสาโส        จิตจิตฺตสฺส ตาทิโน
อเนญฺโชสนฺติมารพฺภ        ยํ กาลมกรีมุนี
อลฺลิเนน จิตฺเตน        เวทนํ อชฺฌวาสยิ
วิโมกฺโข เจตโส อหุ ปชฺโช ตสฺเสว นิพฺพุติ.

ความว่า ลมอัสสาสะปัสสาสะ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่น คงที่ ได้หมดไปแล้ว พระมุนีเจ้าผู้ไม่ทรงหวั่นไหว ทรงปรารภพระนิพพานอันเป็นธรรมที่สงบ ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาเสียได้ ด้วยพระราชหฤทัยที่ไม่ติดข้องแล้วทรงกระทำกาละใด ความหลุดพ้นด้วยพระราชหฤทัยได้มีแล้ว พระนิพพานจึงปรากฏแก่พระพุทธองค์ใด เหมือนกับไฟที่ลุกโพลงดับไปอย่างสนิทฉะนั้น ฯ

๔. พระอานนทเถระเจ้า กล่าวสังเวคคาถาว่า

ตทาสิ ยํ ภิสนกํ        ตทาสิ โลมหํสนํ
สพฺพาการวูปเปเต        สมฺพุทฺเธ ปรินิพฺพุเต.

ความว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เข้าถึงแล้วซึ่งความประเสริฐด้วยประการทั้งปวง เสด็จปรินิพพานแล้ว ความมหัศจรรย์ที่ทำให้เกิดขนพองสยองเกล้าโลมชาติชูชันได้ปรากฏแล้ว แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายฯ

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-9 12:30:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ปัญหาและเฉลยการเสด็จดับขันธปรินิพพาน

ถาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้วด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติอย่างไร?

ตอบ ได้ทรงเข้ารูปฌานและอรูปฌาน ตลอดถึงสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติเป็นอนุโลมปฏิโลมแล้ว ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในลำดับแห่งการพิจารณาฌานที่สี่นั่นเองฯ

ถาม พระองค์ตรัสปัจฉิมโอวาทแล้ว จากนั้นได้ทรงกระทำอะไรอีกในส่วนพระองค์?

ตอบ เมื่อตรัสปัจฉิมโอวาทจบแล้ว ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ฯ

ถาม พระพุทธองค์ทรงเสด็จปรินิพพานเวลาไหน ดิถี เดือนอะไร

ตอบ พระองค์เสด็จปรินิพพานในปัจฉิมยาม แห่งวิสาขปุณณมี ดิถีขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖

ถาม คำว่า "ปรินิพพาน" ครั้งนี้ เป็นปรินิพพานอะไร และเป็นความสุขได้อย่างไร?

ตอบ คำว่า "ปรินิพพาน" ในที่นี้ ท่านหมายถึง "อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ" เพราะดับนามรูปที่เป็นวิบากและกัมมัชรูปที่กรรมกิเลสเข้าไปยึดถือเหลือแล้ว จากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดต่อไปอีกเลย

ข้อที่ว่าเป็นสุขนั้น ก็หมายความว่า ก็เมื่อหมดนามรูปแล้ว การที่จะต้องแก้ไขด้วยการบริหารขันธ์ก็ดี นามรูปที่จะเป็นปัจจัยแก่กิเลสก็ดี ดับหมดแล้วความทุกข์อันเป็นวิบากที่เกิดขึ้นทำให้สัตว์ต้องเสวยก็ไม่มี นามรูปซึ่งเป็นวิบากอันจะเป็นปัจจัยให้เกิดความรักและความชัง ก็ดับไปหมดแล้ว ความทุกข์ใจที่จะเกิดมาเพราะกิเลสคือความรักและความชังก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว อันนี้แล ท่านจึงได้กล่าวว่าเป็นความสุขด้วยประการฉะนี้ฯ

จบเรื่องพิธีวิสาขบูชา


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-11-24 09:31 , Processed in 0.088906 second(s), 21 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้