ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 1363|ตอบกลับ: 14

เริ่มต้น

[คัดลอกลิงก์]

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901



เริ่มต้น

"ถ้าไม่มีการเริ่มต้น..ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
เหมือนคนบางคนที่ได้แต่ยืนมองอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
แต่ไม่เคยแม้แต่จะพยายามข้ามไป"

ก่อนการสวดมนต์ทำวัตรเช้าในวันนี้ท่านอาจารย์ได้บอกกับพวกเราว่า "วันใหม่ ..เป็นการเริ่มต้นวันเวลาของชีวิตขึ้นมาใหม่ การที่เราเริ่มต้นชีวิตได้ดีก็เท่ากับการสร้างเข็มทิศชีวิตให้เกิดขึ้น

นาฬิกาชีวิตของเราได้เดินมาอยู่ ณ จุดนี้ ทำให้เราทุกคนมานั่งอยู่ที่ห้องนี้อย่างเพียบพร้อมเพื่อน้อมรับคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าด้วยอภิธรรมปิฎก เพื่อให้เรามีทิศทางที่ดี ..แต่ทิศทางที่ดีนั้น ต้องเริ่มต้นให้ดี

วันนี้เราจึงมาเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ทำวัตรเช้าบูชาพระรัตนตรัย เคารพนบนอบในพระสัพพัญญุตตญาณ เคารพนบนอบในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ และเคารพนบนอบในศาสนทายาทผู้หลุดพ้นแล้วทุกท่าน

และหลังจากที่สวดมนต์ทำวัตรเช้าจบลงแล้ว ท่านก็ได้กล่าวทักทายกับทุกคนว่า .." กราบสวัสดีทุกท่านและขออนุโมทนาในกุศลกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมที่ได้ทำมาในวันนี้คือการสวดมนต์ทำกุศลกันอย่างเต็มที่

ในสัปดาห์หน้าก็จะถึงวันปีใหม่ของไทยแล้วซึ่งมูลนิธิได้หยุดการเรียนการสอนเพราะบริเวณถนนพุทธมณฑลสาย ๔ นี้จะมีการเล่นสงกรานต์กันอย่างเนื่องแน่น ทำให้การจราจรติดขัดมาก จึงถือโอกาสให้ท่านหยุดพักการศึกษากันและถ้าใครจะไปเข้าปฏิบัติเพื่อแต่งเติมชีวิตให้ดีก็ขออนุโมทนา



42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-12 19:35:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ชีวิตของเรานี้ควรจะต้องหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดทำ...อย่างที่เขียนไว้บนกระดานว่า

ถ้าไม่มีการเริ่มต้น..ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
เหมือนคนบางคนที่ได้แต่ยืนมองอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
แต่ไม่เคยแม้แต่จะพยายามข้ามไป.

" ถ้าไม่มีการเริ่มต้น..ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง " คำพูดนี้เราดูได้เลยว่าจริงหรือไม่?

ทุกวันนี้พอตื่นเช้าขึ้นมาเราก็หิว ..แล้วเราก็กินเข้าไป จากนั้นเราก็ทำโน่นทำนี่ไปจนถึงกลางวันเราก็หิว ..แล้วเราก็กินเข้าไป แล้วเราก็ทำโน่นทำนี่ไปจนถึงเย็น..เราก็กิน แล้วก็ทำโน่นทำนี่แล้วก็นอน ..หนึ่งวันก็ผ่านไป



พอเช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นเราตื่นขึ้นมาก็มากิน แล้วก็ทำโน่นทำนี่.แล้วก็กินกลางวัน แล้วก็ทำโน่นทำนี่..แล้วก็กินเย็น แล้วก็ทำโน่นทำนี่..แล้วก็นอน ก็หมดไปอีกวันหนึ่งแล้วพอเช้าตื่นขึ้นมาใหม่เราก็กิน ....ชีวิตเป็นแบบนี้



แต่ถ้าหากเราตั้งใจอาราธนาศีลแปด ..พอช้าตื่นขึ้นมาเราก็กิน แล้วก็ทำโน่นทำนี่จนถึงเวลาเพล..เราก็กิน แล้วก็ทำโน่นทำนี่จนถึงเย็น..หยุดกิน ...เห็นหรือไม่ว่า ชีวิตเปลี่ยนแล้ว ฉะนั้น ถ้าหากไม่มีการเริ่มต้นก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง



ยกตัวอย่างนี้มาเพื่อให้เห็นชัดว่า เป็นสิ่งที่ไม่ซ้ำ ..ชีวิตของเราทุกคนนั้นวนเวียนอยู่กับเรื่องที่จำเจซ้ำซาก แม้กระทั่งเราศึกษาธรรมะแล้วเราก็อยู่กับเรื่องที่จำเจซ้ำซาก.."เหมือนคนบางคนที่ได้แต่ยืนมองอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ"



เช่นทุกวันนี้เราคิดว่าการได้เกิดในที่ดี เราใฝ่หาสวรรค์เพราะคิดว่าเป็นของดี พระนิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ปรารถนาอย่างยิ่ง ..ความคิดอย่างนี้ก็เหมือนกับการที่เรายืนมองอีกฟากหนึ่งด้วยความชื่นชมโสมนัส "แต่ไม่เคยเลยที่จะพยายามข้ามไป"ชีวิตจึงต้องเป็นไปอย่างนี้



และชีวิตโลกธรรมนั้นไม่มีอะไรมาก ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดต่างก็มีการไขว่คว้าค้นหา "Power Sex Money" โลกนี้จึงหมุนไปได้ ..โลกของโลกธรรมนั้นหมุนไปได้เพราะสามสิ่งนี้





42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-12 19:36:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด


Power ..ทุกคนไม่มีใครไม่ต้องการอำนาจ ..ความเป็นใหญ่ อย่างน้อยเราก็ใหญ่กว่าน้องเรา ใหญ่กว่าภรรยา ใหญ่กว่าสามี ใหญ่กว่าคนในบ้าน ใหญ่ในห้องเป็นหัวหน้าชั้น ฯลฯ ..เราต่างต้องการชื่อเสียงต้องการอำนาจ

นอกจากนี้เราก็ต้องการ Sex และMoney .. โลกจึงหมุนเวียนไปด้วยเรื่องเหล่านี้เป็นวัฏฏะสงสาร คือคลื่นแห่งกรรมที่ซัดชีวิตไปในหนทางที่เป็นไปด้วยความปรารถนาในอารมณ์โดยมีสิ่งทั้งสามอย่างนี้เป็นเครื่องมือสนองอารมณ์

อารมณ์ของสัตว์โลกนั้นจมปลักอยู่ด้วยกิเลสกามที่มีความยินดีไม่มีที่สิ้นสุด ..จึงทำให้เราเห็นว่าแม้กระทั่งเวลานี้ที่เราได้เรียนได้รู้จนเกิดความรู้ความเข้าใจแล้ว แต่ถ้าหากเราไม่มีการเริ่มต้นชีวิตก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีแต่ความรู้ใหม่เท่านั้นเองแต่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงชีวิต

เพราะเราเห็นไปด้วยกิเลสชอบไม่ชอบ ได้ยินก็มีความชอบกับความไม่ชอบ ได้กลิ่น ก็มีความชอบความไม่ชอบ สิ่งเหล่านี้จะเป็นรูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฐัพพารมณ์ และธรรมารมณ์ ..แต่เราไม่มีความเปลี่ยนแปลง

เคยบ้างไหมที่มีอารมณ์มาแล้วเราก็สักแต่ว่ารู้เฉย ๆ ? ไม่มี แต่เราจะรู้ชอบ รู้ชัง และถึงจะมีรู้เฉย แ ต่ก็ไม่ได้เฉยด้วยกุศล มันเฉยด้วยโมหะเพราะอารมณ์นั้นมันไม่เป็นอติมหันตารมณ์สำหรับเรา ...ความรู้สึกนึกคิดก็เลยไม่มีการเปลี่ยนแปลง และความเปลี่ยนแปลงที่พระพุทธเจ้าทรงให้นั้นก็คือการย้ายอารมณ์ที่เป็นการถ่ายถอนกิเลสตัณหา ย้ายอารมณ์ไปจนกระทั่งเรารับรู้การกระทำด้วยความจำเป็นเท่านั้นเอง

เมื่อไม่มีการเริ่มต้นก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราดูตัวเองได้เลย เราบอกว่าเราเรียนธรรมะมายี่สิบปี เราเรียนมามากแล้วธรรมะช่วยเรามากหรือยัง? ยัง เราดูได้เลยที่ตัวเรา เรามีอารมณ์ ทุกคนมีอารมณ์และเหมือนกันด้วย คือ อารมณ์ปุถุชน เป็นอารมณ์ที่พร้อมจะสับสนและวุ่นวาย

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-12 19:36:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด


Sex... บางคนวันนี้บอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก่อนนี้คุณก็เคยมี ตอนนี้แก่แล้ว แล้วเราเคยต้องการให้เขาไปจากเราไหม? ไม่ เพราะมีความอุปทาน เช่น ตอนนี้พ่อบ้านป่วย มันเป็นอารมณ์แรงที่มากระทบ ก็ต้องรีบกลับบ้านไปดูแลทำอาหารให้เขาทาน เพราะเขาเป็นของเรา (อุปทาน )

เรื่องนี้อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องทางเพศอย่างเดียว ความยินดี ความพอใจ ความอุปทานใน รูป เสียง กิล่น รส สัมผัส นั่นแหละรวมอยู่ในเรื่องนี้ด้วย และก็รวมถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของเราก็ยังมีมาก และก็ความตัดอาลัยไม่ขาด การครุ่นคิดอยู่นั่นเอง จึงทำให้ชีวิตไร้ค่า

ในความไร้ค่าของชีวิตนั้นเวลาที่มีค่าก็หมดไป ลมหายใจของเราทุกคนใกล้สุดท้ายแล้ว เหลือแผ่วเบา เหลือไม่กี่วันแล้ว ดังนั้น บางสิ่งที่เรามองว่าไม่สบายใจ กลุ้มใจ หรือว่าเสียใจ ถ้าหากเรามองใหม่เราก็จะได้มุมมองเพิ่มขึ้น บางสิ่งที่เราดีใจ มองใหม่เราก็จะได้มุมมองที่เปลี่ยนไป

เช่น โต๊ะตัวนี้เปรียบเสมือนวิบากอกุศล ส่วนเก้าอี้ตัวนี้เปรียบเสมือนวิบากกุศล ซึ่งทุกคนต่างมีด้วยกันทั้งสิ้น คือมีบาปมีบุญเป็นของตนเอง แต่มีมากมีน้อยก็ต่างกรรมต่างวาระที่จะมาให้ ซึ่งเราจะต้องใช้คนเดียวในโลกธรรมที่หมุนไปด้วย Power Sex Money

ปกติเวลาที่ได้รับสิ่งไม่ดี ก็มักจะกลุ้มอกกลุ้มใจตัดอาลัยไม่ขาด ทุรนทุรายทางใจ แล้วก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เรามันช่างโชคร้าย เรามันวาสนาไม่ดี เรามันบุญน้อย นี่คือความคิดที่เป็นไปสารพัด และคิดได้แค่นี้

แต่ทำไมไม่คิดไกลออกไปอีกว่า ทำไมบุญน้อย.. ก็เพราะไม่ได้ทำบุญมา ความคิดของเรานั้นไม่ได้เลยไปถึงสาเหตุที่ว่าไม่ได้ทำบุญมา ดังนั้นจึงมีคำพูดที่แสดงถึงความตัดอาลัยไม่ขาดว่า ฉันบุญน้อย ฉันโชคร้าย ฉันอย่างนั้น ฉันอย่างนี้ หรือคิดแบบเชิงประชดกรรมเช่น ฉันรู้น่ะว่าฉันบุญไม่พอ ซึ่งที่จริงแล้วคนที่รู้ว่าตัวเองบุญไม่พอก็จะต้องรีบตักตวงบุญ

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-12 19:37:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด


โดยทั่วไปชีวิตเราก็เหมือนกับโต๊ะและเก้าอี้สองตัวนี้ คือ ถ้าหากเราได้รับอกุศลวิบากคือมีของไม่ดีมาวางอยู่บนโต๊ะเราก็รู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อกุศลวิบากส่งผลมามีของดีๆ มาวางอยู่บนเก้าอี้เราก็พอใจ ...นี่คือมุมมองของธรรมดา

แต่ถ้าหากมองอีกมุมหนึ่งของผู้ที่รู้ธรรมก็จะเป็นว่า เมื่ออกุศลวิบากส่งผลมามีสิ่งไม่ดีมาวางอยู่บนโต๊ะให้ให้รู้ เมื่อรู้แล้วก็จะดีใจ เพราะรู้ว่าของร้าย ๆ ที่เราทำไว้มันเริ่มเบาลงจากชีวิตเราแล้ว ..ดีใจที่ได้ใช้หนี้

และเมื่อได้รับวิบากดีส่งผลมา มีสิ่งดีๆ มาวางให้บนเก้าอี้ เมื่อรู้แล้วแทนที่จะดีใจ ก็จะวางใจว่า สิ่งดีๆ ที่ทำไว้ได้มาให้ผลแล้วก็คงคงใกล้จะหมดแล้วนะ ควรที่จะต้องรีบทำเพิ่มเติมเข้าไปใหม่

ให้มองวิบากดีนี้เป็นเช่นเดียวกับเหตุการณ์ของชีวิตผู้ที่เขารับพระราชทานปริญญาบัตร ที่เราต้องเข้าแถวรออยู่นานแล้วได้รับพระราชทานเพียงครั้งเดียวโดยรับจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน เมื่อรับแล้วก็ต้องถอยออกมา แต่ในพระหัตถ์ของพระองค์ท่านนั้นก็จะมีผู้ส่งต่อปริญญาบัตรมาให้พระราชทานอยู่เรื่อยๆ

จึงน่ากลัวนะกับผู้ที่ชะล่าใจกับวิบากดี ยินดีกับวิบากดีอย่างชื่นชมโสมนัส แล้วก็ต้องการอย่างนั้น เพราะเมื่อยามที่วิบากดีส่งมามากๆ แล้วหมดไป ก็จะถึงคิววิบากไม่ดีมาส่งผลบ้างเพราะมันส่งได้ทีละอย่าง

แต่ถ้าวิบากไม่ดีส่งมามาก ๆ เรารู้เลยว่าเราได้ใช้หนี้ เพราะทุกวันนี้เราเกิดมาใช้หนี้ ใช้ของเก่า เราจึงวิ่งหาแต่เรื่องดีๆ เพื่อสนองความต้องการ เที่ยวจุดธูปร้องขอ วิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอเพื่อให้สิ่งดี ๆ มาเกิดกับฉัน สิ่งดี ๆ คือวิบาก ท่านดลใจให้ ท่านอุดหนุนให้วิบากดีมาส่งผลเร็ว ๆ แต่เพราะเราไม่ได้ยินเสียงเทวดาท่านตอบมาว่า เธอได้รับวิบากดีเร็วเธอก็หมดเร็วนะ หรือท่านอาจจะบอกว่านี่เป็นมรดกกองสุดท้ายของเธอก็ได้ แต่เราไม่ได้ยินคำพูดของท่าน เพราะเรากำลังลูบคลำกับสิ่งที่เราต้องการ

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-12 19:37:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด


นี่คือโลกธรรมของชีวิตที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย Power Sex Money แต่ชีวิตอีกด้านหนึ่งก็มีอยู่สามสิ่งเหมือนกันคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่จะทำให้ชีวิตของคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ได้

ศีลตรงกันข้ามกับ Power ...เพราะศีลก็ทำให้เกิดอำนาจ เป็นราศรีที่ทำให้เราไปสู่สุคติ และศีลก็เป็นอำนาจที่นำให้ไปพบกับสมบัติมากมาย เช่น ถ้ารักษาศีลไม่ฆ่าสัตว์ก็จะได้สมบัติไป ๙ ประการ คือไม่ต้องได้รับหายนะ ๙ ประการ มีความทุพพลภาพเป็นต้น เพราะฉะนั้น Power ต่าง ๆ ของผู้ปฏิบัติธรรมจึงมั่นคงอยู่กับศีล มีการสร้างอำนาจขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจะรองรับชีวิตให้ได้ดีกว่าชาตินี้ แต่ Power ของทางโลก เป็นไปเพื่อข่ม เพื่อรังแก เพื่อกดขี่ แล้วเพื่อชูคอ

สมาธิตรงกันข้ามกับ Sex ..เพราะสมาธิมีความตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่วอกแวก จิตจึงไม่ซัดส่ายไปแต่หากิเลสกาม ผู้ที่ตั้งมั่นสงบดีแล้ว ความสงบจะรักษาผู้นั้น แม้กระทั่งกายและใจก็เป็นสุข หลับก็เป็นสุข อารมณ์ต่าง ๆ ก็สามารถจัดวางไว้ใน Lock แห่งชีวิตได้ สมาธิจึงเป็นอุปกรณ์ของผู้ต้องการพ้นทุกข์ แต่ผู้ที่อยู่กับ Sex จะจัดวางชีวิตไม่ได้ ต้องอ่อนไหวไปตามกระแสของกรรม

ปัญญาตรงกันข้ามกับ Money .. เพราะปัญญาเป็นขุมทรัพย์ เมื่อมีปัญญาแล้วสร้างอะไรก็ได้ หาอะไรก็ได้ และรู้ใช้รู้จ่าย รู้บ่ายเบี่ยงจากสิ่งที่ทำให้เกิดความฉิบหายได้ แต่ถ้าชีวิตที่หาแต่เงินโดยไม่มีปัญญานั้น... หาแล้วอาจไม่ได้ หรือได้มาก็หายนะไป

ฉะนั้นเครื่องมือของนักปราชญ์จึงเป็นไปด้วยศีล สมาธิ ปัญญา แต่เครื่องมือของพวกสัตว์โลกนั้นคือ Power Sex และ Money

เราก็จะได้เห็นได้ว่า ธรรมะเท่านั้นที่จะชนะอธรรม ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรจะเปลี่ยนแปลงใหม่โดยอย่าแค่ยินดีว่าพระนิพพานดี แล้วยืนมองฝั่งหนึ่งของแม่น้ำแต่ไม่เคยพยายามที่จะข้ามไป เพราะคิดว่าปฏิบัติยาก

ลองคิดดูถ้าเผื่อเราไม่เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงชีวิต หรือเตรียมอริยทรัพย์เอาไว้ ชาติหน้าของเราอาจจะแย่กว่านี้เพราะอยู่ในกาลที่วิบัติมากขึ้น ลองเปรียบเทียบดูก็ได้ว่า

เมื่อก่อนนี้เงินมีค่ามาก ..ก๋วยเตี๋ยวชามละหกสลึง ตอนนี้เงินถูก..ก๋วยเตี๋ยวชามละเท่าไร? แล้วที่จะมีต่อไปในข้างหน้าค่าของเงินก็จะยิ่งถูกลงแล้วของก็จะยิ่งแพง ซึ่งอาจจะไม่มีดอกเบี้ยเงินฝากเลยก็ได้ เราจึงไม่ควรประมาทแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองเสียใหม่ อย่าคิดไปเปลี่ยนใครก่อนแต่ต้องเปลี่ยนที่ตัวเองให้ได้ผลจริง ๆ แล้วค่อยเอาตัวเองไปเป็นเครื่องยืนยัน

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-12 19:38:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด


มีผู้ที่ประสบกับความอึดอัดในหลายๆ เรื่องซึ่งเป็นเรื่องที่เนื่องด้วยผู้อื่นทั้งสิ้น แล้วก็เอามากลุ้มใจว่า เขาคิดอย่างนั้น เขาแสดงอย่างนั้น เขาทำอย่างนี้ ความกลุ้มใจนั้นเกิดขึ้นเพราะความไม่ถูกจริต หลวงพ่อท่านได้ให้คำแนะนำว่า ไม่เห็นยาก ไม่เป็นไร ให้ดูเฉย ๆ

ท่านอธิบายถึงคำว่า ดูเฉยๆ ว่า ชีวิตของพวกเหล่านั้นก็ไม่ต่างกับว่าวตัวหนึ่งที่โดนกระแสลมแล้วลอยอยู่สูง ว่าวที่ลอยได้ที่เพราะลมแล้วก็ตกลงมายาก แม้เราจะไปดึงให้ลงมันก็ไม่ลง รังแต่จะขาดเพราะมันสุดสายป่านแล้วมีลมมาพยุงไว้ เราต้องเฉย ๆ ไว้ รอจนลมเปลี่ยนทิศ เมื่อลมเปลี่ยนทิศมันก็หันหัวตกมาบ้าง

ถ้าลมมันไม่เปลี่ยนทิศเลยล่ะ? ก็ใจเย็น ๆ รอหน้าฝน เมื่อฝนตกว่าวก็ต้องเปียกแล้วก็ต้องตกลงมาแน่ๆ เพราะมันเปียกน้ำก็จะมีน้ำหนักเหมือนกับความชราที่มาถึงแล้วมันทำให้เขาชูคอไม่ขึ้นมาเอง ให้เขาเก่งอย่างไรก็แล้วแต่ พอชราแล้วมันก้มทั้งนั้นแหละ หลังค่อมหมด

ถ้าฝนตกแล้วฝนมันไม่ตกแรงล่ะ? ก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อว่าวเปียกแล้วก็จะชื้นแล้วเปื่อยยุ่ยทำลายตัวมันเองลงไป เมื่อกระดาษยุ่ยหมดแล้วโครงสร้างก็อยู่ไม่ได้ต้องตกลงเหมือนกับชราแล้วก็มรณะที่ต้องตกลงไปตามกาล แต่เมื่อตกลงมาแล้วก็ยังดีที่เหลือโครงที่ดี ..เรายังหยิบโครงสร้างนั้นมาปะกระดาษใหม่แล้วชักไปในทิศทางที่ดีได้ ..

นี่คือมุมมองของผู้สูงกว่าเรา ..เมื่อได้ฟังแล้วก็สบายใจ ซึ่งต่างจากพวกเรากันเองที่แต่ละคนต่างมีอีโก้มีมานะสูงอยากจะพูด เขามานะอยากจะเถียง เมื่อเรามีมานะอยากจะแสดง เขาก็มีมานะอยากจะดื้อ คือมานะมาพบกับมานะจึงไม่ชนะกันสักอย่าง

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-12 19:39:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด


นี่ก็เดือนเมษายนแล้ว ก็นึกถึงหลวงพ่อแสวง เดือนเมษายนเคยเป็นเดือนที่เหนื่อย มาก ๆ เพราะวันที่ ๙ เมษายน เป็นวันครบรอบมรณภาพของหลวงพ่อแสวงหรือพระครูศรีโชติญาณ

ก็เลยตั้งใจเลยว่า วันจันทร์นี้จะไปทำกุศล จะไปทำตัวเป็นนักเรียนคนหนึ่งที่ไม่ใช่อาจารย์บุษกร จะเป็นบุคคลคนหนึ่งที่เดินเข้าไปหาพระ(ที่เคยรู้สึกไม่ดีกับท่าน) ด้วยความเคารพผ้าเหลืองแล้วจะไปถวายพระภิกษุรูปหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของท่านที่ไปศึกษาพระอภิธรรมที่ประเทศพม่าจนจบหลักสูตรแล้ว

โดยจะบอกกับท่านว่า ถ้าท่านจะเปิดคอร์สในวันธรรมดาหรือมีอะไรจะสอนก็จะมาเรียนที่วัดศรีประวัตินี้ แล้วก็ตั้งใจนำเงินที่ใส่พานไว้แล้วนั้นไปกราบถวายเพื่อให้ท่านตั้งใจนำเงินนั้นไปทำบุญให้กับครูอาจารย์คือหลวงพ่อแสวงต่อไป จึงตั้งใจว่าวันจันทร์นี้จะไปทำสังฆทาน รวมทั้งจะซื้ออาหารแมวไปบริจาคที่วัด แล้วจะไปให้อาหารปลาที่หน้าวัดอีกด้วย จากนั้นก็จะนำกุศลทั้งหมดนี้กราบบูชาหลวงพ่อแสวง โชติปาโล ที่เคารพรักด้วยการยกเลิกอคติในใจ

ฉะนั้น การคิดได้.. ก็จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ใจ แล้วมีการกระทำที่เกิดจากความเต็มใจและทำด้วยความสบายใจ ..เมื่อมีการเริ่มต้นที่ใจ ใจที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วก็มีจะความสุข

ชีวิตอยู่ไม่นานแต่ชีวิตอยู่ยาก เพราะคิดให้ยากด้วยการเอาเราเข้าไปคิด แต่ชีวิตที่อยู่ไม่นานนี้จะอยู่ง่าย ถ้าเรารู้จักว่าอะไรควรทำอะไรควรละ

เนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ของไทย คือวันสงกรานต์ที่จะถึงนี้ จึงขออาราธนาอำนาจของพระแก้วมรกต พระเสื้อเมือง พระมิ่งเมือง พระขวัญเมือง พร้อมทั้งเหล่าเทพยดาที่พิทักษ์รักษาประเทศชาติ ขอจงประพรมความร่มเย็นซึ่งเปรียบเสมือนสายน้ำมาชะโลมจิตใจของทุกท่านให้มีความสุขมีความสงบความร่มเย็น

ขอชีวิตท่านจงปฏิรูปได้เหมือนน้ำ เพราะน้ำคือใจของท่าน ทำให้เป็นเหมือนน้ำให้ได้ เพราะน้ำ สามารถอยู่ได้ในทุก ๆ ภาชนะ สามารถปฏิรูปตนเอง เอาน้ำไปใส่ภาชนะทรงกลม คือ ขัน น้ำก็เป็นรูปทรงกลมได้ เอาไปใส่ในภาชนะรูปสี่เหลี่ยม น้ำก็เป็นรูปสี่เหลี่ยมได้ สามารถปฏิรูปตัวเองได้เข้ากับทุก ๆ สถานการณ์ และอยู่ได้อย่างร่มเย็น

ขอกุศลจิตและกุศลกรรมของท่านได้คุ้มครองให้ท่านอยู่รอดและปลอดภัยตลอดไปและตลอดกาล


42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-12 19:40:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด


หลังจากที่สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักในช่วงกลางวันได้ผ่านพ้นไปแล้ว ท่านอาจารย์ได้นำคณะของพวกเราเดินทางไปยังวัดศรีประวัติเพื่อประกอบกุศลตามที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อน โดยจะมีการถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์สี่รูป การนำอาหารไปเลี้ยงปลาที่ท่าน้ำหน้าวัด และการนำอาหารแมวไปมอบให้แก่ท่านพระทอง เพื่อนำไปเลี้ยงแมวที่อยู่ในวัดต่อไป

เมื่อคณะของเราไปถึงวัดศรีประวัติแล้วก็มีการจัดแจกันดอกไม้สดถวายแด่หลวงพ่อแสวงโดยจัดวางไว้ที่หน้ารุปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของท่าน ต่อจากนั้นท่านอาจารย์ได้กราบเรียนให้พระสงฆ์ ๔ รูปที่เป็นตัวแทนสงฆ์วัดศรีประวัติได้ทราบว่า ที่คณะของเรามาทำสังฆทานในวันนี้ก็เพราะว่า

"พวกเรามีความระลึกหลวงพ่อแสวง (พระครูศรีโชติญาณ) ที่ท่านได้มีอุปการคุณแก่พวกเราในหลายด้าน ในวันนี้พวกเราได้มีความพร้อมที่จะมาทำกุศลเพื่ออุทิศถวายให้กับหลวงพ่อแสวง ซึ่งตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมานั้นกิจการงานของมูลนิธิได้ดำเนินไปตามแนวทางที่หลวงพ่อแสวงคือการเผยแผ่ธรรม นอกจากนี้พวกเรายังได้พยายามใช้กาย วาจา และใจกระทำคุณงามความดีที่ที่จะสามารถทำได้

โดยพวกเราได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์เป็นจำนวนเงินหลายแสนบาทให้แก่โรงพยาบาลนาเชือก จังหวัดมหาสารคามมาตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้ทางโรงพยาบาลนำไปซื้อเครื่องมือแพทย์มาใช้ในกาจการสาธารณะประโยชน์ จึงขอน้อมนำกุศลกรรมนี้ตลอดจนคุณงามความดีที่เกิดขึ้นแล้วทั้งทางกาย วาจา ใจ และทั้งที่เป็นส่วนตัวและส่วนรวม ทั้งเพื่อสาธารณะประโยชน์และเพื่อพระพุทธศาสนา

ขอน้อมนำสิ่งที่ได้กระทำแล้วด้วยความชอบธรรมนั้นมาเป็นเครื่องระลึกเพื่อมาพบพระคุณเจ้าทั้งสี่รูปพร้อมกับนำสังฆทานมากราบถวายด้วย จึงขอให้ท่านโปรดรับสังฆทานนี้ และร่วมพิธีอุทิศกุศลต่อไป"

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-12 19:41:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ต่อจากนั้นก็เป็นพิธีถวายสังฆทานซึ่งดำเนินไปด้วยความประณีตในกุศล และในช่วงสุดท้ายนั้นท่านอาจารย์ได้นำทุกคนกล่าวคำอธิษฐานว่า ..

"ในวันนี้ข้าพเจ้าและพวกลูกศิษย์ทุกคนได้พร้อมใจกันมาทำสังฆทานถวายแด่พระครูศรีโชติญาณเพื่อระลึกถึงพระคุณของท่าน ด้วยความตั้งมั่นในพระคุณนี้ขอความกตเวทิตาคุณของข้าพเจ้าทั้งหลาย จงทำให้ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี มีความศรัทธาอย่างมั่นคงและสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสัมมปฏิบัติสามารถขจัดความเศร้าหมองและกองกิเลสทั้งหลายให้มลายไปได้โดยไว

ด้วยกุศลเจตนาทั้งกาย วาจา และใจ ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เพียรกระทำมานี้ขอกราบเป็นเครื่องบูชาพระคุณแด่หลวงพ่อแสวงที่เคารพ แม้นท่านจะจากภพนี้ไปเป็นเวลาแปดปีแล้วแต่ข้าพเจ้าทั้งหลายยังรำลึกในพระคุณตลอดจนถึงคำสั่งสอนของท่านจนทำให้ข้าพเจ้ามีวันนี้ คือวันที่รู้ธรรมโดยฉพาะหลักการและหลักกรรมที่เป็นไปในพระอภิธรรมปิฎกได้อย่างมากมาย

พระคุณเหล่านั้นข้าพเจ้าทั้งหลายขอระลึกไว้ด้วยความเคารพ และขอตอบแทนพระคุณของท่านด้วยการรักษาธรรมไว้พร้อมทั้งเผยแพร่ธรรมรวมถึงการประกาศชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงพ่อด้วยชีวิตและด้วยความเคารพสักการะยิ่ง"

เมื่อเสร็จสิ้นพิธีถวายสังฆทานแล้ว ..ท่านอาจารย์ได้นำหนังสือเส้นทางสายดอกไม้และเงินส่วนตัวจำนวน ๑๔,๐๐๐ บาทไปกราบถวายพระสงฆ์อีกห้ารูปเพื่อให้ท่านนำไปใช้ในกิจส่วนตัว และได้กราบถวายเงินที่ร่วมกันบริจาคที่เหลือทั้งหมดไว้กับท่านพระทองเพื่อร่วมจัดกิจกรรมกุศลกับทางวัดศรีประวัติเนื่องในโอกาสคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อแสวงซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๓ พฤษภาคมนี้

หลังจากนั้นคณะของเราก็ได้ไปยังศาลาท่าน้ำหน้าวัดเพื่อร่วมกันให้อาหารแก่ปลาที่แหวกว่ายอยู่ในลำคลอง..ซึ่งในช่วงเวลานี้ก็เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่น่าประทับใจมากในบรรยากาศของการให้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของฆราวาสหรือของพระภิกษุ..ที่ต่างมีความสุขในกุศลทานนี้เป็นอย่างยิ่ง อาหารปลาอย่างดีที่ซื้อมาจำนวน ๑๑ ถุง (ถุงละ ๒๓๐ บาท) ก็หมดหลงภายในเวลาไม่กี่นาที

และในช่วงสุดท้ายคณะของเราก็ได้พากันนำอาหารแมวไปมอบให้ท่านพระทองเพื่อเก็บไว้เลี้ยงแมวภายในวัดอีกจำนวน ๑๐ ถุงใหญ่ (ถุงละ ๓๓๐ บาท ) ..จึงขอกราบอนุโมทนากับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการกุศลครั้งนี้ ..สาธุ สาธุ สาธุ


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-11-21 23:24 , Processed in 0.094940 second(s), 20 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้