|
เขาจึงบอกว่าเวลารถชนกัน อย่าวิ่งไปดู เราจะเห็นสิ่งที่ไม่ดี ส่วนคนแก่จะมีคติกรรมนำเกิด เพราะอยู่มานาน มักชอบเล่าความหลัง ถ้าความหลังดีก็ดีไป และโดยเฉลี่ย ๕๐ เปอร์เซ็นต์ คือ กรรม มีเจตนา ๒๙ (อกุศล ๑๒ มหากุศล ๘ มหัคคตกุศล ๙)
๑. ถ้าจิตจับกรรมในอกุศล ๑๒ คือ โลภมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒ โมหมูลจิต ๒ ก็นำสู่ทุคติภูมิ
๒. ถ้าจับจิตมหากุศลจิต ๘ ก็นำเกิดสุคติภูมิ
ปัจจุบันธรรม คือ ธรรมที่มีอยู่ แต่เกิดโดยไม่ขาดสาย แม้จะไม่เกิดที่เรา แต่ปฏิเสธไม่ได้
ปัจจุบันอารมณ์ คือ ปัจจุบันที่มีอยู่จริง เกิดขึ้นกับเราจริงๆ
ขณะปัจจุบันอารมณ์นั้นเกิดขึ้นขณะใดก็ตัดสินว่าเป็นนามหรือรูป ขณะนั้นวิวัฏฏคามินีเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตดวงที่ ๑ ประกอบด้วยไตรเหตุ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ เป็นกุศลชนิดอุกฤษฏ์ หรือ อุกัฏฐุกัฏฐะ เป็นเหตุทำให้ออกจากวัฏฏะนั่นเอง ถ้าจับอารมณ์อันนั้นเกิดดีแน่นอน เกิดด้วยไตรเหตุ ว่านอนสอนง่าย พระนิพพานสะดวก
๓.ถ้าจิตจับมหัคคตกุศล ๙ ถ้าเผื่อผู้ทำฌานอยู่มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา และมีวสีแคล่วคล่อง เมื่อไปอยู่ที่ปีติ แล้วกลับมาที่วิจาร อธิษฐานแล้วจะไม่เกิดเป็นพรหม ก็จะได้เป็นเทวดาชั้นสูง ต่ำสุดคือดุสิต หรือถ้ามีองค์ฌานก็ปฏิสนธิในพรหมโลก และตรงกับหลักฐานว่า กมฺม ปจฺจโย กัมมปัจจัย มีกรรมเป็นปัจจัย เพราะมีกรรมจึงมีอารมณ์ทำให้เกิดคติ
ฉะนั้น เวลาเจ็บอย่าครวญอย่างครางนัก เจ็บนิดเจ็บหน่อยอดทนไว้ แก้ไขเจ็บอย่างไรก็แล้วแต่ อย่าออกมาเป็นวจีให้เลย ยอมทน จะครวญก็ต่อเมื่อสุดทน ฉะนั้นเราหัดไม่ครวญคราง ฝึกอดทน อารมณ์ของเราก็จะถูกตบะเดชะพลวปัจจัยแห่งขันติ อารมณ์นั้นจะเป็นอารมณืสุคติได้
ฉะนั้นสติก็จัดเป็นกุศลกรรม มหากุศลดวงที่ ๑ เมื่อใกล้ตายจับอารมณ์สติมีกำลังแรง ก็ไปสู่สุคติแน่นอน สติจัดเป็นกุศลไตรเหตุ และเกิดด้วยโสมนัส
ถาม เมื่อแต่ละคนไปถึงพระนิพพานแล้วไปอยู่ตรงไหน
ตอบ นิพพานไม่มีเมืองแก้วเมืองสวรรค์ ไม่มีที่อยู่ ที่ใดมีภพมีภูมิ มีที่ๆ สัตว์เกิดอยู่ ที่นั่นมีทุกข์เกิดขึ้น พระนิพพานไม่ใช่ที่ พระนิพพานเป็นอารมณ์ เราอยากถึงพระนิพพาน แต่ไม่รู้จักพระนิพพานก็เดาไง ฉะนั้นพระนิพพานเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ พระพุทธเจ้าสอนอยู่ ๔ อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ทุกคนมี สัตว์ทุกตัวมี เรานั่งอยู่นี่แต่ละคนมีจิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ โดยพิสดาร แต่ในจิต ๘๙ ร่วมกัน เรามีสิทธิแค่ ๔๕ ดวง เมื่อเราไม่รู้จักจิตก็เท่ากับว่าเราไม่รู้จักตัวเราเอง จึงต้องเรียนรู้เรื่องตัวเราก่อน เมื่อเราเรียนเรื่องจิตแล้ว เราก็สามารถรู้ว่าจิตชั่วเป็นอย่างไร จิตดีเป็นอย่างไร จิตที่ควรส่งเสริมเป็นอย่างไร จิตที่ควรทำลายเป็นอย่างไร เช่น จิตทำไมมีมาก จิตมากเพราะกิจ เช่น จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตรู้รส จิตนึกคิด จิตบุญ ๘ จิตบาป ๑๒ เป็นต้น
จิตนั้นถูกตบแต่ง เหมือนเราออกจากบ้านต้องแต่งตัวใช้เสื้อผ้าหลายชิ้น เปรียบเหมือนจิตเกิดขึ้น ต้องมีตัวปรุงแต่งจิตประกอบด้วย เช่น จิตเห็น มีเจตสิกประกอบ ๗ ตัว คือ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ เราเห็นแล้ว ก็ไม่ได้เห็นเฉยๆ ด้วย มีเกิน ๗ เพราะเห็นแล้วชอบก็มีโมจตุกกะ ๔ และโลติกกะ ๓ เข้าร่วมด้วย
แต่ละครั้งที่จิตทำงานนั้น พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ว่ามันเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง นี่แหละที่ต้องอาศัยสัพพัญญุตญาณ ธรรมดาอย่างเราหรือไม่มีทางรู้ ได้แต่พูดเอา พูดตามพระพุทธเจ้า นี่พระองค์เข้าไปรู้การทำงานอันเร้นลับอันยิ่งใหญ่เหลือเกิน เรื่องจิตแล้วต้องมีเจตสิกประกอบ แล้วสอนเรื่องรูปว่าที่เรานั่งประกอบด้วยอะไรบ้าง อวินิพโภครูป ๘ ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ สี กลิ่น รส โอชา รวมเป็น ๘ จึงมีอาการนั่งเกิดขึ้นได้
ธรรมชาติทั้งจิต เจตสิก รูป เป็นธรรมชาติที่เรามีอยู่ แต่เราไม่มีตัวนิพพาน ฉะนั้น พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน
นิพพานนั้นเป็นธรรมที่มีอยู่ แล้วใครเข้าถึง ผู้ที่พบคือผู้ที่พ้น ผู้ที่พบพระนิพพานคือ การพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากแหล่งกำเนิดทั้ง ๔ และทาง ๖ สาย ไปทางเดียวคือไม่เกิด
|
|