ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 1091|ตอบกลับ: 8

ตัวการสำคัญที่ทำให้วัฏฏะเจริญงอกงาม

[คัดลอกลิงก์]

32

กระทู้

138

ตอบกลับ

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

เครดิต
2405


ตัวการสำคัญที่ทำให้วัฏฏะเจริญงอกงาม
(คัดตัดตอนมาจากหนังสือการปฏิบัติวิปัสสนา ของอภิธรรมมูลนิธิ)
โดย อาจารย์บุญมี เมธางกูร ( พระอาจารย์บุญมี เมธังกุโร).

ตัวการสำคัญที่บีบบังคับเราให้ต้องเกิดแล้วเกิดอีก หมุนเวียนไปยังภพต่างๆ ไม่ได้หยุดเลย นั่นก็คือ โลภะตัณหา คือความยินดีติดใจในอารมณ์ต่างๆ นั่นเอง โลภะตัณหาเป็นต้นเหตุของบรรดาความทุกข์ทั้งหลาย เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้วัฏฏะเจริญงอกงามไปทุกๆ ชาติ

โลภะตัณหา คือความยินดีติดใจในอารมณ์ต่างๆ ทั้ง ๖ ทวารเหล่านี้เองเป็นตัวบีบคั้น เคี่ยวเข็ญ บังคับบัญชาให้เราอยู่ภายใต้อำนาจของมันเสมอ ทำให้เราต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อสนองความทะยานอยากของมัน ทำให้จิตใจต้องร้อนรนกระวนกระวายกระสับกระส่ายหยุดนิ่งไม่ได้ ด้วยความไม่รู้จักพอ เป็นผู้ชี้แนะและจูงเราไปสู่หุบเหวแห่งหายนะอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

เมื่อทุกคนต่างพากันไหลมาสู่สายทางอันเดียวกันคือความทะยานอยากไม่รู้จักอิ่มเช่นนี้ ทางสายนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียดเยียดยัดยื้อแย่งช่วงชิงกันเป็นพัลวัน ต่างก็หาหนทางที่จะให้ตัวเองสมใจในความทะยายอยาก แล้วปีนป่ายไปสู่ความหวังอันนั้น ความดีทั้งหลายจึงถูกทอดทิ้งอยู่เบื้องหลังแล้วเอาความเห็นแก่ตัวเข้ามาใส่แทน

เมื่อความเห็นแก่ตัวมีมากขึ้นๆ ความสำนึกถึงความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ก็มีราคาค่างวดน้อยลงๆ เพราะโลภะตัณหาคอยสะกิดให้รับเอาทุกสิ่ง และห้ามไม่ให้ใครในบางสิ่ง กำลังของความทะยานอยากนั้นมิได้เกิดขึ้นในขณะเดียวหรือสองขณะ หากแต่เกิดอยู่ตลอดทั้งวันนับจำนวนมิได้ และทั้งมิได้เกิดขึ้นชั่ววันใดวันหนึ่งเท่านั้น หากแต่เกิดอยู่ตั้งแต่เกิดขึ้นมาไปจนสิ้นชีวิต



32

กระทู้

138

ตอบกลับ

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-3 09:02:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ด้วยเหตุนี้จึงได้สั่งสมกำลังหรือพลังงานไว้เป็นอันมากมายภายในจิตใจ จนเกิดความสามารถที่จะทำงานได้ หรือผลักส่งให้ชีวิตต้องอุบัติขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่ ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ความทุกข์ยากทั้งหลายจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องแก้ไขปัญหาให้แก่ชีวิตวันแล้ววันเล่าไม่รู้จักจบสิ้นเสียที

ใครๆ ก็ถูกครอบงำด้วยโลภะตัณหาเช่นเดียวกัน ใครๆ ก็ติดใจในอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้นแล้วเราจะเอาอะไรมาทำลายล้างให้มันออกไปจากจิตใจเสียได้ ถ้าไม่ได้เรียนรู้จากพระพุทธศาสนา และก็ต้องไม่ใช่เป็นการเรียนรู้พระพุทธศาสนาแบบที่ตีความเอาเองตามใจชอบ

เพราะมีหลายคนที่หมั่นทำจิตมิให้ติดในโลภะตัณหา โดยไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น หรือหมั่นทำสมาธิมิให้จิตพัวพันกับสิ่งเหล่านี้ หรือเพ่งจิตลงไปในเรื่องหนึ่งที่ยากๆ แล้วเมื่อถึงเวลาก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาเองอย่างฉับพลัน หรือฝึกทำจิตให้ว่างจากความเห็นแก่ตัว มิให้ยึดถือเรื่องเกี่ยวกับตัวตน ไม่มีตัวเราตัวเขา ซึ่งเป็นการสร้างมโนภาพหรือจินตนาการขึ้นทั้งนั้น

การกระทำทั้งหลายดังกล่าวนี้นับว่าน่าชมเชยที่มีความตั้งใจอันดี แต่ความตั้งใจอันนี้ไม่ถูกต้องจึงไม่เกิดผลตามที่ต้องการคือกำจัดโลภะตัณหาได้ จะมีผลเพียงข่มกิเลสโลภะเอาไว้ได้เป็นขณะๆ หรืออย่างมากก็เป็นการชั่วคราวเท่านั้น เพราะถ้าวิธีการตื้นๆ เผินๆ ที่กล่าวมานี้เป็นการประหาณโลภะตัณหาต้นเหตุแห่งการเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายได้โดยเด็ดขาดจริงๆ แล้ว พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่เป็นอัศจรรย์ ความตรัสรู้ของพระองค์ก็จะได้ความหมาย เพราะใครๆ ก็สามารถคิดและค้นคว้าเข้าถึงได้โดยทั่วไป



32

กระทู้

138

ตอบกลับ

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-3 09:03:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ทำลายโลภะตัณหาแล้ว โทสะและโมหะถูกทำลายด้วยหรือไม่?

โลภะตัณหาเป็นต้นเหตุของทุกข์ ดังนั้น เราจะแก้ทุกข์ของเราให้ได้ก็จะต้องแก้ที่ต้นเหตุ ทำลายต้นเหตุลงเสียไม่ให้เป็นตัวการสร้างบ้านเรือน สร้างภพชาติให้เราอีกต่อไป และการทำลายโลภะตัณหานี้ไม่ใช่แค่การคิดเอาโดยคอยระแวดระวังไม่ให้โลภะเกิด หรือถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วก็ให้ทำเฉยๆ เสีย โดยทำใจให้ว่างๆ ไม่ให้คิดเห็นเป็นคนเป็นสัตว์ เพราะการปฏิบัติเช่นนี้เป็นการสร้างมโนภาพขึ้น ไม่สามารถทำลายอนุสัยกิเลสคือกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในส่วนลึกของจิตใจให้ออกไปไม่ได้เลยเป็นอันขาด

ธรรมชาติทั้งหลายมันก็มีคู่ปรับของมันทั้งนั้น ในการทำลายโลภะตัณหาก็จะต้องอาศัยตัวปัญญาซึ่งเป็นศัตรูของโลภะ และก็เป็นศัตรูของโทสะกับโมหะด้วย เราจะต้องสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นเพื่อทำลายโลภะตัณหา ซึ่งจะเป็นการฆ่าให้ตายโดยเด็ดขาดแน่นอน

โลภะตัณหาจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีโมหะคือความโง่ความหลงเข้าครอบงำหนุนหลังให้เกิด

เพราะมีความโง่ ความหลง จิตจึงได้เกิดโลภะขึ้นมา แต่เมื่อสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญานั้นก็จะเข้าทำลายโมหะลง โลภะก็จะขาดผู้อุปการะหนุนหลัง ทำให้พลอยถูกบั่นรอนทำลายลงด้วยเหมือนกัน

นอกจากนี้ความโกรธหรือความเสียใจทุกข์ร้อนก็ดี สาเหตุใหญ่ก็มาจากความโลภนั่นเอง แล้วก็มีตัวความโง่ความหลงหนุนหลังให้เกิดด้วย

ดังนั้น เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้วโทสะก็อยู่ต่อไปไม่ไหวเช่นกัน โทสะก็จะพลอยถูกประหาณออกไปตามกำลังของปัญญาที่เกิดขึ้นนั้นด้วย การทำลายล้างกิเลสเครื่องเศร้าหมองจะต้องอาศัยปัญญาที่มีกำลังความสามารถเข้าประหาณให้มันออกไปจากจิตใจ



32

กระทู้

138

ตอบกลับ

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-3 09:04:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด


เราจะปลูกฝังปัญญาให้เกิดขึ้นมากๆ ได้อย่างไร?

ก็ขอให้ทำความเข้าใจเป็นขั้นๆ ด้วยคำถามดังนี้

คำถาม สมมติว่ามีผู้ร้ายเกิดขึ้นแล้วเราเป็นตำรวจมีหน้าที่ต้องปราบปรามผู้ร้ายจะต้องทำอย่างไร

คำตอบ ก็จะต้องค้นหาว่าผู้ร้ายอยู่ที่ไหน

คำถาม จะหาผู้ร้ายได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่เคยเห็นหน้าตาหรือรู้จักผู้ร้ายคนนั้นเลย ไปเที่ยวเดินตามหาจนทั่วประเทศก็คงจับไม่ได้แน่

คำตอบ เราจะต้องรู้จักรูปร่างหน้าตาของผู้ร้าย รู้รูปพรรณสัณฐาน และจดจำรายละเอียดของผู้ร้ายเอาไว้ และก็ต้องสอบสวนว่าผู้ร้ายคนนี้ทำผิดอะไร ชอบทำผิดชนิดไหน และที่ไหนบ้าง เช่น ชอบเล่นการพนัน หรือชอบดื่มสุรา หรือติดยาเสพติด ก็จะได้ไปค้นหาตามแหล่งเหล่านั้น แล้วก็สอบสวนถึงเรื่องที่อยู่ว่า ขณะนี้ผู้ร้ายหลบซ่อนอยู่ในจังหวัดใด ตำบลใด เราก็จะเดินทางไปที่จังหวัดนั้นตำบลนั้นต่อไป

คำถาม วิธีการอย่างนี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าลำพังเราคนเดียวไปพบกับผู้ร้ายแล้วก็อาจจะจับผู้ร้ายไม่ได้ ผู้ร้ายอาจหลุดมือไป หรือเราอาจถูกผู้ร้ายทำร้ายได้ เพราะผู้ร้ายอาจจะมีไหวพริบและความสามารถมากจึงได้หลุดมือเจ้าหน้าที่ตำรวจมาได้ตลอด

คำตอบ เราก็จะต้องศึกษาหาความรู้ หาลู่ทาง และใช้กลวิธีอย่างแยบคายในทางหนีทีไล่ ตลอดจนปลูกสร้างกำลังที่เหนือกว่าให้พร้อมเพรียงเสียก่อน จึงจะไม่ปล่อยให้ผู้ร้ายหนีรอดไปได้

ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบนี้ก็คล้ายกับการปราบกิเลสตัณหานี่เอง จิตของเรานี้มีเหตุการณ์ผ่านไปๆ โดยเราไม่รู้สึกตัวเป็นอันมาก ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้ว จิตที่เกิดขึ้นเป็นมิตรกันก็มี จิตที่เกิดขึ้นเป็นศัตรูกันก็มี

อย่างเช่น เวลานี้อ่านหนังสือที่ว่าด้วยสภาวธรรมอยู่ ซึ่งเป็นจิตฝ่ายกุศล ครั้นจิตเกิดขึ้นมาใหม่เป็นจิตที่มีความอิ่มเอิบสุขสบายใจที่ได้เข้าใจปัญหาของชีวิตเพิ่มขึ้น จิตใหม่เป็นจิตฝ่ายกุศลเหมือนกัน ที่มีสภาพสอดคล้องกับจิตที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว นับว่าเป็นมิตรกันได้

แต่ถ้าในขณะที่กำลังอ่านหนังสือที่ว่าด้วยสภาวธรรมอยู่นั้น จิตแว่บออกไปยังโรงหนังโรงละคร รู้สึกว่าหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้คงจะสนุกสนาน จึงมีความอิ่มเอิบสุขสบายใจขึ้นตามมโนภาพในหนังเรื่องนั้น ขณะนี้ก็ได้ชื่อว่าจิตได้เกิดใหม่เป็นศัตรู ไม่ใช่มิตรกับจิตที่แล้วมา และจิตใหม่นี้ก็ย่อมจะหักล้างทำลายจิตที่เกิดเดิมมิให้ต่อเนื่องไปในสายเดียวกันถ้าจิตดวงใหม่นี้มีกำลังมาก อาจด้วยเหตุที่ว่าเคยดูคู่พระคู่นางในเรื่องนี้แล้วถูกใจมาก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้หนังสือธรรมะก็จะถูกวางลงทันที อกุศลก็เป็นฝ่ายมีชัย

ความจริงเรามิได้สังเกตให้ดีเองต่างหาก จิตที่เกิดมาในนาทีเดียวบางทีเกิดทั้งดีทั้งชั่ว บาปหรือุญสลับกันอยู่ตั้งมากมาย แต่ละดวงต่างก็ช่วงชิงกันเป็นใหญ่และประหาณปรปักษ์ฝ่ายตรงข้ามให้พินาศลงไป(ประหาณชั่วคราว) ถ้าผู้ใดมีวาสนาคือได้อบรมบ่มนิสัยทั้งในชาตินี้ทั้งในอดีตชาติมามาก จะเป็นทางฝ่ายดีฝ่ายชั่ว บุญหรือบาปก็ตาม ก็ได้ชื่อว่ามีกำลังมาก และมีหวังจะชนะได้ครองความเป็นใหญ่ในอารมณ์นั้นๆ



32

กระทู้

138

ตอบกลับ

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-3 09:05:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด


การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็คือการที่พยายามให้ปัญญาเกิดขึ้น เพื่อหวังว่าจะใช้ปัญญาตัวนี้เข้าทำลายจิตที่ไม่ดีทั้งหลายให้ขาดสะบั้นลงไป แต่การที่จะแสดงว่า “ปัญญาคืออะไร อยู่ที่ไหน” นั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก จำเป็นต้องอาศัยเวลา และการพิจารณาให้ดีๆ จะรีบร้อนนักไม่ได้

ตอนแรกที่ได้พูดมาแล้วว่าผู้ร้ายตัวสำคัญที่เราจะไปจับนั้น อยู่ๆ เราจะเข้าไปจับเลยย่อมไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าผู้ร้ายมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ดังนั้นเราต้องเรียนรู้รูปร่างหน้าตาตัวการที่มาทำให้เราตกที่นั่งลำบากให้ดีเสียก่อน อย่างน้อยที่สุดสำหรับผู้ปฏิบัติถ้าไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดมาก่อนก็จะต้องศึกษาให้พอเข้าใจไว้บ้าง

โลภะตัณหานี้จะเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะโมหะ ซึ่งได้แก่ความโง่ความหลงมิได้มีความเข้าใจชีวิตตามที่มันเป็นไปจริงๆ โลภะตัณหามันจะเกิดแต่ลำพังผู้เดียวหาได้ไม่ จะต้องเกิดร่วมพร้อมกับโมหะเสมอ ดังนั้น โมหะจึงเป็นผู้ร้ายหนุนหลังโลภะตัณหาที่เป็นผู้ร้ายตัวสำคัญ

ความโง่ความหลงนั้นคือความไม่เข้าใจต่อสภาวธรรมความจริงที่เกิดขึ้นตามทวารต่างๆ มีเห็น ได้ยิน เป็นต้น เมื่อมีความไม่เข้าใจแล้วก็ย่อมจะทำอะไรไปตามความไม่เข้าใจนั้นๆ นั่นคือทำไปตามอำนาจของโลภะ ตามอำนาจของโทสะ โดยไม่รู้สึกตัว

ส่วนตัวปัญญาคือสัจธรรม การรู้ตัวเท่าทันความโง่ความหลงที่เกิดขึ้น จนความโง่ความหลงนั้นไม่อาจจะตั้งอยู่ได้ หรือไม่อาจที่จะเผชิญหน้าได้ การที่โลภะเกิดขึ้นก็เพราะความโง่ที่มิได้มองเห็นสัจธรรมความเป็นจริงตามธรรมชาติ



32

กระทู้

138

ตอบกลับ

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-3 09:06:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด


เกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อได้เห็นสิ่งที่เราเรียกว่า “สวยงาม”?

ผัสสะ (การกระทบของจิตกับอารมณ์) จะเป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา (การชอบใจเป็นสุข)

เวทนาจะเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา (ความติดใจ)

ตัณหาก็เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน (ยึดมั่น)

อุปาทานก็เป็นปัจจัยให้เกิดกรรม (การกระทำ)

กรรมคือการกระทำทางกาย วาจา ใจ ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดบาป บุญ (ชั่ว-ดี)

บาปและบุญก็จะเป็นกำลังส่งไปสู่การปฏิสนธิ(การเกิด)

การเกิดใหม่ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ (แก่เฒ่า, ตาย)

ความชราและความตายนั่นก็คือความทุกข์ (ความทนอยู่ไม่ได้) ต่อไปอีกมากมาย

เมื่อเราเห็นสิ่งที่สวยงามเพียงครั้งเดียวเหตุการณ์หลายอย่างก็ตามมาทันทีโดยรวดเร็วจนเราไม่อาจที่จะตั้งตัวได้ทัน เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เมื่อเกิดขึ้นก็ย่อมจะก่อให้เกิดความดิ้นรนลำบาก และแล้วก็จะสะสมกำลังเอาไว้จนบังเกิดความสามารถเป็นกำลังส่งเสริมให้ต้องไปเกิดใหม่ในภพชาติต่อไป แล้วก็ได้รับความทุกข์ยากซ้ำแล้วซ้ำอีก



32

กระทู้

138

ตอบกลับ

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-3 09:07:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด


“ความสวยงาม” ถ้าจะว่าตามสัจธรรมความจริงแท้แล้ว นั้นไม่มี การที่เราเห็นสุภาพสตรีสวยงามก็เพราะมีเหตุที่มีคลื่นของภาพนั้นสะท้อนแสงเข้ามากระทบตา ความจริงคลื่นแสงย่อมมีช่วงคลื่นต่างๆ กัน ช่วงคลื่นบางช่วงคลื่นก็กระทบกับตาไม่ได้ ที่จะกระทบได้ก็เป็นบางช่วงคลื่นเท่านั้น และเมื่อกระทบลงยังจุดศูนย์กลางของตาดำเข้าแล้ว ก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีและไฟฟ้าเกิดขึ้น แล้วจึงเคลื่อนตัวเข้าถึงประสาทตาอีกทีหนึ่ง(อสัมปัตตาคาหกรูป)

ด้วยเหตุนี้ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วก็จะเห็นว่า “ที่ตา” นั้น มีหน้าที่ “เห็น” ได้อย่างเดียว คลื่นแสงที่สะท้อนจากภาพเข้ามากระทบตา จะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย อ้วน ผอม สวย ไม่สวย ก็ไม่ได้ การที่เรารู้เกินกว่าที่เห็นไปนั้นเป็นเรื่องที่คิดเอาในทางใจทั้งนั้น

ที่เราว่าสวยของเรานั้น(แล้วแต่รสนิยมของใคร) ก็เพราะเราวาดภาพตามความสำนึกเก่าๆ ของเราเอง หรือพูดง่ายๆ ก็ว่า เราเอาของเก่าที่มีอยู่ในจิตใจออกมารวมกับที่เห็น ถ้าไม่มีของเก่าเข้าร่วมการตัดสินแล้ว เราก็ไม่อาจที่จะตัดสินว่าสวยหรือไม่สวยก็ได้ เช่นให้เด็กเล็กๆ ดูร่วมกับเราด้วย เด็กเล็กๆ ก็ย่อมจะตัดสินของเขาไปตามภาษาเด็กที่เขามีภาพในอดีตเหล่านั้นอยู่ในใจ

เรื่องของความเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนั้น เราเห็นผู้หญิงผู้ชายไม่ได้แน่ แต่เราเห็นแล้วก็ตัดสินกันลงไปว่า คนนั้นเป็นผู้หญิง คนนี้เป็นผู้ชาย ทั้งนี้ก็เพราะเรามีความเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชายที่จะร่วมในการตัดสินอยู่ในใจพร้อมแล้วจึงตัดสินได้ อย่าว่าแต่ผู้หญิงผู้ชายเลย แม้รูปกลม รูปสี่เหลี่ยม รูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว เราก็ไม่อาจใช้อารมณ์ทางตาเห็นรูปกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม เหล่านี้ได้

เด็กเล็กๆ ที่เรายังมิได้สอนเรื่องผู้หญิงผู้ชาย รูปกลม รูปสี่เหลี่ยม รูปสามเหลี่ยม แต่เขาก็มีตามีใจเหมือนกับเรา เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วเขาก็ไม่รู้จัก หรืออย่างคนตาบอดมาตั้งแต่คลอดครั้นอยู่มาวันหนึ่งนัยน์ตาเกิดดีขึ้นมาได้ สามารถเห็นขึ้นมาโดยฉับพลัน ทันทีนั้นเขาจะเห็นเป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย เป็นรูปกลม เป็นรูปสี่เหลี่ยม เป็นรูปสามเหลี่ยมไม่ได้ เพราะเขาไม่มีรูปเหล่านั้นอยู่ในใจ จึงไม่อาจเอาของเก่าขึ้นมาตัดสินว่าเป็นอะไร

แต่เขาจะเห็นตามที่ตาเขาเห็นอยู่นั้นได้ เช่น เห็นผู้หญิง ผู้ชาย รูปกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ได้ตามที่ตาของเขาได้กระทบรูปนั้นจริงๆ แต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่ามันชื่อว่าผู้หญิง ชื่อว่าผู้ชาย ชื่อว่ารูปกลม ชื่อว่าสี่เหลี่ยม ชื่อว่าสามเหลี่ยม

การเห็นว่าสวย ไม่สวย เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย เป็นรูปกลม เป็นรูปสี่เหลี่ยม เป็นรูปสามเหลี่ยม ก็เพราะคิดเอาหรือสร้างมโนภาพเอาเองอันเกิดขึ้นทางใจเท่านั้น

การที่เด็กเล็กๆ หรือคนตาบอด “เห็น” เฉยๆ โดยที่ไม่มีสีหรือภาพเก่าอยู่ในใจนี้ ก็ไม่ใช่ “สักแต่ว่าเห็น” เพราะเป็นการ “เห็น” ที่ยังไม่รู้ความจริงของชีวิตยังไม่เข้าใจปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่เกิดขึ้นอันก่อให้เกิดความรู้สึกได้ทางตา หรือจะพูดว่าความจริงแท้ของขบวนการงานในเรื่อง “เห็น” นั้น ยังมิได้ถูกดูให้เข้าใจ ดังนั้น แม้ว่าเขาจะไม่มีโลภะความยินดีติดใจในอารมณ์ แม้ว่าเขาจะไม่มีโทสะความขุ่นแค้นทุกข์ร้อนเสียใจกังวลใจก็จริง แต่เขาก็จะตกอยู่ในฐานะของผู้มีโมหะเข้าครอบงำจิตอยู่

อนึ่งสัตว์เดรัจฉานก็มีตามีใจทั้งเห็นได้อยู่ทุกวัน เห็นอะไรก็ได้ดังที่เราเห็นเหมือนกัน แต่สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ได้ชื่อว่ามีปัญญา ไม่ได้ชื่อว่า “สักแต่ว่าเห็น” ตามสภาวธรรม เพราะสัตว์เดรัจฉานไม่รู้จักคิดไม่รู้จักเฟ้นเอาความจริงแท้ๆ อะไรให้ออกมาได้เลย



32

กระทู้

138

ตอบกลับ

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-3 09:09:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่ามนุษย์โง่เขลาเบาปัญญาได้จับเอามโนภาพซึ่งต่างคนต่างสร้างไปตามการอบรมของตนในอดีตให้มาเป็นความจริงที่วาดภาพขึ้นเอาเอง ทั้งนี้ก็เพราะอำนาจของโมหะหรืออวิชชาเข้ามาสกัดกั้นปิดบังเอาไว้ แม้แต่การเห็นซึ่งเกิดอยู่ต่อหน้าต่อตาแท้ๆ ก็ยังหลงผิดไปได้ง่ายๆ โดยไม่ได้นึกได้ฝัน

และก็ด้วยโมหะอวิชชานี้ปิดบังซ่อนเร้นความจริงแท้เอาไว้ เราจึงได้ถูกโมหะอวิชชาหนุนส่งจนก่อให้เกิดความเห็นผิดว่า สุภาพสตรีคนนั้นสวยน่ารัก แล้วก็ก่อให้เกิดโลภะตัณหา ก่อให้เกิดกำลังอำนาจ ทำให้ต้องลำบาก ทำให้วัฏฏะถูกสร้างขึ้น

การที่มาพูดเรื่องสัจธรรมความจริงเช่นนี้ก็เพื่อจะได้เห็นว่าคนเรามีความหลงผิดอยู่ที่ตาที่หูของตัวเองตลอดเวลา จะได้เห็นรูปร่างหน้าตาของผู้ร้ายเอาไว้ และเมื่อจะเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้วจะได้เข้าใจว่า ทำวิปัสสนากรรมฐานเพื่อจะรู้เห็นของแท้จริงอย่างไร จะได้ไม่ไปยึดความจริงไม่แท้ไว้อย่างแน่นหนา

การเข้าวิปัสสนากรรมฐานเป็นการแก้ความเป็นบ้า(วิปลาส)ให้สะดุดหยุดลงเสียบ้าง ดังนั้นเราจึงได้เห็นคนเข้าวิปัสสนากรรมฐาน กำหนดจิตดูการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่มโดยพิจารณาดูตามไป ป้องกันมิให้อวิชชาความหลงใหลเข้าครอบงำจิตได้ เพียรพยายามกันเอาความจริงไม่แท้หรือสมมติออกไปจากจิตใจ แต่เมื่อผู้ที่มีความเข้าใจไปเห็นเข้ากลับหาว่าเขาเป็นบ้าไปเสียก็มี ตัวเองกำลังเป็นบ้าอยู่แท้ๆ โดยสมบูรณ์ก็หารู้ตัวไม่





32

กระทู้

138

ตอบกลับ

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-3 09:13:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-12-4 16:00 , Processed in 0.112033 second(s), 29 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้