มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ - เว็บบอร์ด

 ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 909|ตอบกลับ: 4

การงานในพระพุทธศาสนา

[คัดลอกลิงก์]

238

กระทู้

469

โพสต์

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
4138
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย บุษกร เมธางกูร เมื่อ 2017-11-8 19:07



คำว่า..ธุระ..นั้นก็คือการงานนั่นเอง ที่พุทธบริษัทจะต้องให้ความสำคัญ การงานหรือธุระในพระพุทธศาสนามีอยู่ ๒ อย่าง คือ

คันถธุระ.... ได้แก่การเล่าเรียนศึกษาหาความรู้แห่งสัจจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ท่านทรงแสดงไว้

และวิปัสสนาธุระ ...ได้แก่การฝึกขัดเกลากิเลสให้จิตใจเข้าถึงความบริสุทธิ์หมดจดการกิเลสเครื่องเศร้าหมอง

ดังนั้นธุระในพระพุทธศาสนาจึงมีอยู่ ๒ อย่างนี้เท่านั้น

ถ้าหากว่ากิจทั้งสองอย่างนี้ยังบริบูรณ์ และแพร่หลาย ก็หมายความว่า พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่หรือ เจริญมากขึ้น เพราะมีคนเข้าใจมากขึ้น คนรู้มากขึ้น

ธุระทั้ง ๒ อย่างนี้จะมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ การศึกษาเล่าเรียนเพียงอย่างเดียว ก็ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าถึงคำสอนของท่านโดยแท้จริงได้

การปฏิบัติเพียงอย่างเดียว ไม่มีการศึกษาเล่าเรียนก็อาจจะทำไม่ถูก เมื่อทำไม่ถูก ก็ไม่สามารถจะไปถึงคำสอนของพระบรมศาสดา โดยเหตุผลที่แท้จริงได้



238

กระทู้

469

โพสต์

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-11-8 19:03:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เวลานี้ธุระในพุทธศาสนาทั้ง ๒ นี้เสื่อมไป

ถึงคันถธุระมีอยู่จริง การเล่าเรียนศึกษามีมากจริง แต่ว่าการเล่าเรียนส่วนมาก ไม่ได้ตรงตามพระพุทธประสงค์ เพราะไม่ได้เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส แต่เพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข วัตถุประสงค์ของพระบรมศาสดานั้น บางคนมีเจตนาว่า..เมื่อได้เล่าเรียนจนเข้าใจแล้ว จะได้ทำงาน เช่นเดียวกับวิชาการทางโลก

เมื่อเล่าเรียนจบการศึกษาแล้ว ก็จะต้องทำงาน ถ้าไม่ทำงานเลย การศึกษาเล่าเรียนก็ไม่เกิดประโยชน์ โดยคิดเอาเองว่า..วิชชานั้นจะเกิดประโยชน์อยู่ที่ จรณะ คือ การงาน ทำการงานแล้วผลของงานจึงจะเป็นประโยชน์ ซึ่งความคิดเห็นเช่นนี้ผิดแน่นอนคะ

การแตกธรรมสามัคคี ระหว่างคนปฏิบัติ และผู้ที่ใฝ่ใจในการเรียน ก็เป็นเหตุแห่งความเสื่อม

เพราะ ต่างฝ่ายต่างติ พวกปริยัติก็ติคนปฏิบัติว่าไม่เข้าใจ นั่งหลับตาอยู่ในป่าในดงไม่รู้เรื่องรู้ราว คนปฏิบัติ ก็ติว่าพวกปริยัติไม่เคยปฏิบัติอะไรเลย และยังกล่าวว่า ..พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เคยเห็นไม่เคยพบ มีดีแต่ตำรา ที่อ่านมาท่องมานั่นเอง

เมื่อแตกสามัคคี ก็ต้องมีแต่ความวิบัติอย่างไม่ต้องสงสัย เวลานี้เสื่อมมากทีเดียว การเล่าเรียนก็ไม่เข้าใจ อย่าคิดว่าเรียนแล้วจะเข้าใจ การปฏิบัติก็มีน้อย แบบอย่างต่างๆ วิธีต่างๆ ตำราต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาว่าด้วยการปฏิบัติก็มีมากมาย จนกระทั่งคนปฏิบัติไม่รู้ว่า อะไรถูกอะไรผิด นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพระศาสนาเสื่อมแล้วนะคะ

238

กระทู้

469

โพสต์

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-11-8 19:03:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ที่จะปฏิบัติ นั้นก็จะต้องรู้จักด้วยนะคะ จะได้หาทางออก ทางป้องกันได้นะคะ

สำหรับผู้ที่อยากจะมาปฏิบัติ อยากจะรู้ธรรม หรืออยากจะหมดกิเลส จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้จะมีฆารวาสเสียมากกว่าพระภิกษุคะ เพราะงานส่วนเกินที่ไม่จำเป็นตามหลักพระวินัยธรรม ทุกวันนี้มีมากเหลือเกิน มากจนพระท่านไม่มีโอกาสเรียนรู้ถึงแก่นแท้ของพระธรรม และหลักที่ควรจะประพฤติปฎิบัติ

แต่ฆราวาสนั้น จัดว่าเป็นบุคคลที่มีภาระมาก แต่ก็อุตส่าห์ปลีกมาได้ คนที่จะมาได้เขาก็สามารถที่จะมาได้ไม่มีอุปสรรคนั้นยากนะคะ ต้องอาศัยแรงใจแรงศรัทธาจริงๆคะว่าจะมาเข้ากรรมฐาน ๗ วัน ๑๕ วัน หรือเดือนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมด้วย

ไม่ใช่ของง่ายเลยสำหรับการที่จะออกมาได้ บางคนนึกว่าจะออกมานึกไว้ตั้ง ๓ ปี แต่ก็ไม่ได้ออก อย่างนี้ก็มี แต่ก็ยังดีที่นึกว่าจะออกมาปฏิบัติสัก ๑๐ วัน ๑๕ วันก็แล้วแต่โอกาสที่กิเลสเขาจะอนุญาตให้ แปลว่า ต้องลากิเลสมาจึงจะมาเข้ากรรมฐานได้ ถ้ากิเลสไม่อนุญาตแล้วมาไม่ได้ เห็นไหมคะว่าอุปสรรคนั้นมากจริงๆก็เพราะว่าเราเป็นทาสของกิเลสอยู่ กิเลสเป็นตัวขัดขวางไว้ต่าง ๆ

ท่านที่มาได้มีโอกาสมาศึกษาและปฏิบัตินั้น ก็แสดงว่ากิเลสเขาให้มา ก็แล้วแต่กิเลสเขาจะให้มากี่วัน บางคนกิเลสเขาให้ลาสัก ๑๕ วัน อยู่ไม่ถึง ๑๐ วัน ได้ ๗ วัน อยู่ไม่ได้เสียแล้วต้องไปแล้ว อย่างนี้ก็มีมากค่ะ

238

กระทู้

469

โพสต์

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-11-8 19:03:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขั้นตอนแรกต้องชนะกิเลสด้วยอำนาจสัทธา และมีบารมีเก่าที่เคยสร้างสมมาแล้วด้วยแต่อดีตชาติ

ถ้าคนที่ไม่มีบารมีมาแล้วไม่ได้เลย อาชีพและความยากจนไม่เกี่ยว เพราะบางคนร่ำรวยล้นเหลือมีเงินเป็นร้อยล้าน นั่งกินนอนกินจนตายก็ไม่หมดแต่ก็มาไม่ได้ แต่ไม่ทราบว่า..เรื่องอะไรกิเลสมันไม่อนุญาต ทั้ง ๆที่จิตใจนั้นเลื่อมใสสัทธา

พระอภิธรรมก็มาเรียน แต่ก็มาไม่ได้ นี่ไม่มีบารมีมาเลย คนที่มาได้แสดงว่ามีบารมีมาเหนืออำนาจกิเลส ชนะมาได้ชั่วคราว ความยากจนไม่เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่ว่าคนจนแล้วจะไม่ได้สำเร็จ

คนจนเป็นพระอรหันต์ก็ได้ ..คนรวยไม่เป็นก็ได้ มันอยู่ที่บารมี ไม่ได้อยู่ที่เงินทอง นี่ก็มีบารมีมาแล้วถึงได้ชนะ ต้องมีสัทธากันมาเต็มที่แล้วนะคะจึงจะสมหวังดังตั้งใจ

เมื่อได้สัทธามาแล้ว ต่อไปก็ลงมือทำงาน ก็ต้อง อาศัย วิริยะ ความเพียร ความเพียรต้องไม่ท้อถอย พยายามเอาชนะกิเลสให้ได้นะคะ

เพราะระหว่างที่เราปฏิบัติอยู่นี้ก็ต้องมีอุปสรรคอีก ขณะนี้เรายังไม่มี แต่พอเวลาทำงานเข้า จิตใจมันถูกบังคับ ..คือว่าเวลานี้กิเลสมันหล่อเลี้ยงเราอยู่ พอใจบ้างไม่พอใจบ้าง ก็แล้วแต่สารพัดกิเลสที่ห่อหุ้ม จิตใจก็ถูกกิเลสลากไปทางโน้นลากไปทางนี้ก็เฟ้อเฟ้อไป

แต่เวลาที่เรามาเข้ากรรมฐาน เราจะเป็นไปตามนั้นไม่ได้แล้ว กิเลสนี่มันเหมือนกับเจ้าชีวิตที่ประจำติดกับเรา ถ้าเอากิเลสออก บางคนบอกว่าไม่ไหว ทีนี้เราก็จะต้องอาศัยความเพียร อาศัยสติ.. อาศัยปัญญา..อาศัย ขันติ ความอดทน

ปัญญาเป็นสิ่งที่ต้องการอบรม เวลานี้ปัญญาเราน้อยก็ต้องมาอบรมให้มีกำลังจึงต้องสังวรไว้เสมอนะคะ

238

กระทู้

469

โพสต์

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-11-8 19:05:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เวลาที่ท่านลงมือปฏิบัติ ก็ต้องคอยสำรวมจิตใจ ให้อยู่ในวงจำกัดของอารมณ์นามรูป

ถ้าลงมือทำก็จะเห็นว่า ความเพียรอย่างนี้เป็นความเพียรที่ไม่ใช่ง่าย การทำงานทางโลกเช่นพวกกรรมกรต่าง ๆ ก็ต้องมีความเพียรเหมือนกัน

มิฉะนั้นก็ไม่สำเร็จ แต่ความเพียรเหล่านั้น ย่อมมีกิเลสเข้าไปช่วยอุดหนุนอยู่ ให้มีกำลังมาก ทำได้ทั้งวันทั้งคืน

แต่ความเพียรที่เรานำมาใช้นี้ เป็นความเพียรที่ทำลายกิเลส ไม่ให้กิเลสเข้ามาอาศัย ความเพียรนี้ไม่ต้องอาศัยกิเลสจึงลำบากมากคล้าย ๆ กับไม่มีเครื่องล่อใจจึงต้องลำบาก

ส่วนความเพียรในการงานทางโลกเหล่านั้น มีเครื่องล่อ เราทำงานเพื่อจะได้เงินเดือน เราศึกษาเล่าเรียน เพื่อสอบไล่ได้ แล้วเราก็จะมีผลมีประโยชน์ต่าง ๆ เราก็พยายามทำได้

แต่ความเพียรในที่นี้ไม่มีเครื่องล่อ เพราะว่าเพียรทำลายกิเลส จึงหากำลังได้ยาก กำลังอะไรจะมากเท่ากิเลสนั้นไม่มีนะคะ ความเพียรเจริญวิปัสสนานี้ ไม่มีกิเลส เป็นเครื่องอุดหนุน มีแต่ สัทธากับปัญญา ๒ อย่างเท่านั้น ที่จะอุดหนุนความเพียรได้

สัทธา ที่หวังประโยชน์จาการปฏิบัตินี้อย่างหนึ่ง กับ ปัญญา ที่ต้องคอยปลอบใจตัวเองอยู่อีกอย่างหนึ่ง คอยปลอบใจตนเองว่า..สู้เพื่อพ้นทุกข์จากวัฏฏสงสารไงคะ เช่น บางทีนึกกลุ้มใจอยากจะไปที่อื่นๆ ก็จะต้องคอยถามว่าจะไปทำไม? จะไปหาอะไร? เพื่อประโยชน์อะไร? นี่แหละทีแรกเราต้องมีปัญญาคอยสั่งสอนอบรม มิฉะนั้นจะอยู่ไม่ได้ ต้องมี ปัญญา ด้วย สติ ด้วยคะ

ทีแรกเรามี สัทธา มาแล้ว ที่สองก็ ความเพียร แล้วก็มี สติ แล้วก็มี สมาธิ แล้วก็มี ปัญญา เพื่อวิปัสสนาปัญญาจะได้

ด้วยความปรารถนาดี
พร้อมเป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะคะ
บุษกร เมธางกูร



ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ประวัติการแบน|อุปกรณ์พกพา|ข้อความล้วน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-4-19 16:11 , Processed in 0.089725 second(s), 19 queries .

Powered by Discuz! X3.4, Rev.75

Copyright © 2001-2021 Tencent Cloud.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้